• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

ThaiHiv365

Never leave someone behind.

  • หน้าแรก
  • จองคิวตรวจเอชไอวี
  • เอชไอวีและเอดส์
    • การรักษาเอชไอวี
    • การป้องกันเอชไอวี
    • การตรวจเอชไอวี
    • เอดส์ คืออะไร
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • โรคหนองในเทียม
    • โรคหนองใน ภัยร้ายใกล้ตัว รู้ก่อนรักษาได้
    • โรคหูดข้าวสุก
    • โรคหูดหงอนไก่
    • โรคเริม
    • แผลริมอ่อน
    • โรคซิฟิลิส
  • เพร็พ PrEP/ เป็ป PEP
    • เพร็พ PrEP
    • เป๊ป PEP
  • บทความ
  • ถาม-ตอบ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา

ไวรัสเอชไอวี

ค่า CD4 คืออะไร?

May 3, 2023 by thaihiv365 team

การตรวจนับ ค่า CD4 (ซีดีโฟร์) ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการวินิจฉัย การรักษา และติดตาม การติดเชื้อเอชไอวี การรักษาภาวะโรคเอดส์ เป็นต้น ค่า CD4 หมายถึง จำนวนเซลล์ CD4 หรือเซลล์ T-helper ในเลือด เซลล์ CD4 เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคอื่นๆ ได้ดี โดยเฉพาะไวรัสเอชไอวีนี้จะมุ่งเข้าโจมตีและทำลายเซลล์ CD4 เป็นหลัก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อและการเจ็บป่วยค่า CD4 เป็นตัววัดที่สำคัญของสุขภาพและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ใช้เพื่อระบุระยะของโรค ความจำเป็นในการรักษา และประสิทธิผลของยารักษาเอชไอวี บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายว่าจำนวน CD4 คืออะไร วิธีการใช้ในการจัดการเอชไอวีและโรคเอดส์ และความสำคัญในการวินิจฉัย การรักษา และการติดตามโรค

ค่า CD4 คืออะไร

จำนวน ค่า CD4 สัมพันธ์กับ HIV อย่างไร?

  • จำนวน CD4 และระบบภูมิคุ้มกันเซลล์
    • CD4 มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พวกมันช่วยกระตุ้นและประสานเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ เช่น บีเซลล์ และเซลล์ทีเป็นพิษต่อเซลล์ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อค่า CD4 ต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และร่างกายจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ มากขึ้น
  • จำนวน CD4 และการลุกลามของเชื้อ HIV
    • เชื้อ HIV โจมตีและทำลายเซลล์ CD4 ทำให้จำนวนเซลล์ T-helper ในร่างกายลดลง เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และความเจ็บป่วยก็เพิ่มขึ้น เอชไอวีดำเนินไปตามระยะต่างๆ และจำนวน CD4 จะใช้ในการกำหนดระยะของโรค
ระยะของโรคขึ้นอยู่กับจำนวน ค่า CD4

ระยะของโรคเอชไอวีขึ้นอยู่กับจำนวน CD4 ดังนี้

  • ระยะที่ 1: CD4 มีค่ามากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
  • ระยะที่ 2: มีค่า CD4 ระหว่าง 200 ถึง 499 เซลล์/ลบ.มม.
  • ระยะที่ 3: มีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

จำนวน CD4 และการแพร่เชื้อเอชไอวี การนับ CD4 ยังมีบทบาทในการแพร่เชื้อเอชไอวี ผู้ที่ติดเชื้อที่มีปริมาณ CD4 ต่ำมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น นี่เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ทำให้พวกมันไวต่อการติดเชื้อ รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเอชไอวี

การนับ CD4 และการรักษาเอชไอวีการนับ CD4 ใช้เพื่อกำหนดความจำเป็นในการรักษาเอชไอวี และติดตามประสิทธิภาพของยารักษาเอชไอวี การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวี และได้ผลโดยการยับยั้งไวรัสและฟื้นฟูการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน จำนวน CD4 ใช้เพื่อระบุว่าเมื่อใดควรเริ่ม ART การรักษาทำงานได้ดีเพียงใด และเมื่อใดที่ควรเปลี่ยนแปลงสูตรยา

วิธีการตรวจ ค่า CD4

การตรวจค่า CD4 จะวัดจำนวนเซลล์ T-helper ในเลือด มีหลายวิธีในการทดสอบ CD4 รวมถึงโฟลว์ไซโตเมทรี การทดสอบ ณ จุดดูแล และการทดสอบในห้องปฏิบัติการ Flow cytometry เป็นวิธีการทดสอบ CD4 ที่ใช้บ่อยที่สุด ใช้ตัวอย่างเลือดเพื่อวัดจำนวนเซลล์ CD4 และคำนวณจำนวน CD4 การทดสอบ ณ จุดดูแลคือการทดสอบ CD4 ที่รวดเร็วซึ่งให้ผลในเวลาน้อยกว่า 30 นาที โดยทั่วไปจะใช้ในการตั้งค่าที่มีทรัพยากรจำกัด ซึ่งการเข้าถึงการทดสอบในห้องปฏิบัติการมีจำกัด ความถี่ในการตรวจ CD4 แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัยโรค และทุก 3-6 เดือนสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่งไม่ได้อยู่ใน ART สำหรับผู้ที่ใช้ยา ART แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัย เมื่อเริ่มใช้ยา ART และทุก ๆ หกถึง 12 เดือนหลังจากนั้น

การตีความผลการตรวจ CD4

จำนวน CD4 ถูกรายงานเป็นจำนวนเซลล์ CD4 ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (มม. 3) ของเลือด ค่า CD4 ปกติในผู้ใหญ่มีค่าตั้งแต่ 500 ถึง 1,500 เซลล์/ลบ.มม. อย่างไรก็ตาม จำนวน CD4 อาจแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และปัจจัยอื่นๆ ค่า CD4 ที่ต่ำบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และค่า CD4 ที่สูงกว่าบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น จำนวน CD4 ใช้ในการกำหนดระยะของโรคเอชไอวีและความจำเป็นในการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

ข้อจำกัดของการตรวจ CD4

การทดสอบ CD4 มีข้อจำกัดบางประการ จำนวน CD4 สามารถผันผวนได้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การติดเชื้อ การฉีดวัคซีน และความเครียด จำนวน CD4 อาจไม่สะท้อนถึงการทำงานโดยรวมของระบบภูมิคุ้มกัน และบางคนที่มีจำนวน CD4 ต่ำอาจมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่รุนแรง

ปริมาณ CD4 และการรักษาเอชไอวี

การรักษาด้วยยาต้านไวรัสการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวี/เอดส์ ART ทำงานโดยการยับยั้งไวรัสและฟื้นฟูการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ยา ART มักประกอบด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่สามชนิดขึ้นไปจากประเภทต่างๆ กัน

  • จำนวน CD4 และการเริ่มต้น ART จำนวน CD4 ใช้เพื่อกำหนดเวลาที่จะเริ่ม ART โดยทั่วไป แนะนำให้ใช้ ART สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS โดยมีค่า CD4 ต่ำกว่า 350 เซลล์/ลบ.มม. อย่างไรก็ตาม อาจแนะนำให้ใช้ยา ART สำหรับผู้ที่มีปริมาณ CD4 สูงกว่า 350 เซลล์/ลบ.มม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพโดยรวม และปัจจัยอื่นๆ ของบุคคลนั้นๆ
  • ปริมาณ CD4 และการเกาะติดของยา ARTยา ART ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้ยาอย่างเคร่งครัดจึงจะได้ผล จำนวน CD4 ใช้เพื่อตรวจสอบความสม่ำเสมอและประสิทธิผลของ ART ปริมาณ CD4 ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าการรักษาได้ผล
  • จำนวน CD4 และการตอบสนองของ ART การนับ CD4 ยังใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของ ART เมื่อเวลาผ่านไป ยา ART สามารถลดปริมาณไวรัสและเพิ่มจำนวน CD4 การเพิ่มขึ้นของจำนวน CD4 บ่งชี้ถึงระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น และความเสี่ยงในการติดเชื้อและการเจ็บป่วยที่ลดลง
ความสัมพันธ์ระหว่าง ค่า CD4 & HIV

การนับ CD4 เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเอชไอวีและโรคเอดส์ ใช้เพื่อระบุระยะของโรคเอชไอวี ความจำเป็นในการรักษา และประสิทธิภาพของยารักษาเอชไอวี แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัยและหลังจากนั้นเป็นประจำสำหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ART คือ การรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวีและโรคเอดส์ และจำนวน CD4 จะใช้เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามและการตอบสนองของยาต้าน ART

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

อนาคตของการตรวจ CD4 และการรักษา HIV/AIDS นั้นสดใส ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการทดสอบ CD4 อาจนำไปสู่วิธีการทดสอบ CD4 ที่แม่นยำและเข้าถึงได้มากขึ้น ยาและสูตรการรักษาเอชไอวีแบบใหม่อาจให้ทางเลือกมากขึ้นสำหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

Filed Under: เอดส์ Tagged With: AIDS, CD4, HIV, ซีดีโฟร์, รักษาเอชไอวี, รักษาเอดส์, วินิจฉัยเอชไอวี, ไวรัสเอชไอวี

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

January 18, 2023 by thaihiv365 team

ถ้าพูดถึง HIV กับ AIDS คนหลายคน ก็เกิดมีความกลัวอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังมีชุดความรู้ผิดๆ เกี่ยวกับเชื้อนี้อยู่มาก เนื่องจากยังไม่ค่อยมีสื่อเรื่องเพศศึกษา และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในสถานศึกษาอย่างจริงจัง พอได้ยินว่า “เลือดบวก” ก็จะตีความว่าเขาเป็นโรคเอดส์ทันที ในบทความนี้จะแยกให้เห็นว่า HIV กับ AIDS ไม่ได้เหมือนกันอย่างที่คิดครับ

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

HIV กับ AIDS แตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างของ HIV กับ AIDS นั่นง่ายมาก เพราะ HIV คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค AIDS หมายความว่า AIDS เป็นเพียงอาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV และไม่ได้รับการรักษาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ในตอนท้าย สรุปอีกครั้งว่า HIV เป็นเชื้อไวรัส แต่ AIDS เป็นเพียงอาการของคนที่ไม่ได้รักษานั่นเอง ซึ่งกว่าจะกลายเป็นโรคแทรกซ้อน ไวรัสเอชไอวีจะต้องเข้าสู่ร่างกายมาสักระยะและผู้นั้นไม่ได้ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ตัวไวรัสจึงแพร่กระจายตัวไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พังลงได้ในที่สุด

HIV ติดต่อได้ผ่าน

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และ
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (พบได้น้อย)
HIV ติดต่อได้ผ่าน

อาการของ HIV กับ AIDS

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า AIDS ที่เป็นอาการของผู้ติดเชื้อ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ในระยะแรกที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ คนๆ นั้นจะแทบไม่มีอาการใดปรากฏให้เห็นเลย หรือถ้ามีก็น้อยมากจนไม่ทันสังเกต เพราะอาจคิดว่าป่วยเป็นโรคธรรมดาทั่วไป โดยเราจะแบ่งระยะอาการออกเป็น 3 ระยะดังนี้

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน : ระยะนี้จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีมาแล้ว ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด เช่น
    • ต่อมน้ำเหลืองโต
    • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
    • ปวดเนื้อเมื่อยตัว ไม่มีเรี่ยวแรง
    • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องเสีย
    • เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ
  2. ระยะเริ่มแสดงอาการ : ระยะนี้ จะค่อยๆ เริ่มมีอาการ โดยจะใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10 ปีขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อ แต่ก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าเข้าสู่ภาวะเอดส์อย่างเต็มขั้น ซึ่งอาการจะค่อนข้างคล้ายคลึงในช่วงแรกที่ติดเชื้อ แต่อาจมีโรคอย่างอื่นด้วย เช่น
    • โรคงูสวัด
    • เกิดเชื้อราในช่องปาก
    • มีแผลเริมที่อวัยวะเพศ
    • พบผื่นคันตามร่างกาย คล้ายคนเป็นภูมิแพ้
  3. ระยะเอดส์ : ระยะนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิต้านทาน ในระดับต่ำมากๆ หรือผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่ได้รับการรักษา เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และไม่มีภูมิต้านทานมาช่วยได้ ส่งผลทำให้มีโรคฉวยโอกาสเข้ามาได้บ่อยๆ เช่น
    • วัณโรค
    • โรคติดเชื้อในปอด
    • โรคติดเชื้อในสมอง
    • โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

มาป้องกันตัวเองจาก HIV กับ AIDS กันเถอะ!

อยากห่างไกลจากโรคเอดส์ ทำได้ง่ายๆ เลยเรื่องเดียวคือ ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเอง เพราะเมื่อเราเซฟตัวเองดี คนอื่นรอบข้างก็ไม่มีความเสี่ยงไปด้วย

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ รักเดียว ใจเดียว
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หมั่นตรวจเอชไอวีเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

HIV กับ AIDS ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

หากเราเรียนรู้และยอมรับเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น จะเห็นได้ว่า การอยู่ร่วมกับผู้มีเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะเขาเหล่านี้ก็คือมนุษย์ปกติเหมือนกับเรา เพียงแต่เจ็บป่วยด้วยโรคประเภทหนึ่งเท่านั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเรา เรียน ทำงาน หรือแม้แต่มีครอบครัว มีลูกได้เหมือนกัน ในความเป็นจริง คนที่ติดเชื้อและทำการรักษาเอชไอวีด้วยยาต้าน จะถูกกลไกของยาคอยควบคุมเชื้อไม่ให้แพร่กระจาย ไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และเขาจะได้รับการติดตามผลการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะยานี้จำเป็นต้องทานไปตลอดชีวิต จนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนามาให้กลุ่มผู้ติดเชื้อได้รักษาเอชไอวีให้หายขาดไปได้จริงจากร่างกายในอนาคตครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม

  • โรคฝีมะม่วง ภัยร้ายใกล้ตัว
  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”

Filed Under: เอชไอวี HIV Tagged With: AIDS, HIV, โรคเอดส์, ไวรัสเอชไอวี

Primary Sidebar

Recent Posts

  • สาเหตุ อาการ และการรักษา โรคซิฟิลิส
  • การตรวจ HIV ในปัจจุบัน | HIV Test
  • PEP ป้องกัน HIV ในกรณีฉุกเฉิน
  • สารพัดประโยชน์ของถุงยางอนามัย
  • เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”

Archives

  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • November 2021
  • September 2021
  • April 2021
  • November 2020
  • September 2020
  • May 2020
  • April 2020

Categories

  • PEP
  • PrEP
  • Uncategorized
  • ตรวจเอชไอวี
  • ถุงยางอนามัย
  • ยาต้านไวรัส
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • หนองในแท้
  • เอชไอวี HIV
  • เอดส์
  • แผลริมอ่อน
  • โรคซิฟิลิส
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • โรคฝีดาษลิง
  • โรคฝีมะม่วง
  • ไวรัสตับอักเสบบี

Copyright © 2023 · Genesis Sample on Genesis Framework · WordPress · Log in