• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

ThaiHiv365

Never leave someone behind.

  • หน้าแรก
  • จองคิวตรวจเอชไอวี
  • เอชไอวีและเอดส์
    • การรักษาเอชไอวี
    • การป้องกันเอชไอวี
    • การตรวจเอชไอวี
    • เอดส์ คืออะไร
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • โรคหนองในเทียม
    • โรคหนองใน ภัยร้ายใกล้ตัว รู้ก่อนรักษาได้
    • โรคหูดข้าวสุก
    • โรคหูดหงอนไก่
    • โรคเริม
    • แผลริมอ่อน
    • โรคซิฟิลิส
  • เพร็พ PrEP/ เป็ป PEP
    • เพร็พ PrEP
    • เป๊ป PEP
  • บทความ
  • ถาม-ตอบ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี สาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ

March 8, 2023 by 365team

ไวรัสตับอักเสบบี สาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virsu : HBV) เกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับ และทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย หากติดเชื้อเป็นเวลานานกว่า 6 เดือน จะเรียกว่าภาวะตับอักเสบเรื้อรัง และการอักเสบเรื้อรังดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดพังผืดที่ตับ จากนั้นก็จะทำให้ตับแข็ง และกลายเป็นมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบบี มีกี่ระยะ ?

ไวรัสตับอักเสบบี แบ่งได้เป็น 2 ระยะ คือ

  • ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ ซึ่งจะมีอาการดังนี้อาการไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสียและอาเจียน อ่อนเพลีย ผื่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
  • ระยะเรื้อรัง แบ่งผู้ป่วยได้เป็น 2 กลุ่มคือ
    • พาหะ คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผลการตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย และตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ
ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้อย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อได้อย่างไร ?

  • ไม่สวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์
  • มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีโดยไม่ได้ป้องกัน
  • ใช้เข็มฉีดยา เข็มสัก เข็มเจาะหู ร่วมกับผู้อื่น
  • ใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น
  • ติดเชื้อขณะคลอดจากแม่ที่มีเชื้อ
  • สัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล

ไวรัสตับอักเสบบี มีอาการอย่างไร?

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ได้รับเชื้อจะไม่รู้ตัว ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่สังเกตได้ ดังนี้

  • มีไข้ต่ำๆ
  • อ่อนเพลีย
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • เบื่ออาหาร
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ตาเหลือง และตัวเหลือง
  • จุกแน่นใต้ชายโครงขวาเนื่องจากตับโต

การรักษา ไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี ระยะเฉียบพลัน ผู้ป่วยสามารถหายจากโรคนี้ได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ดังนั้นผู้ป่วยจึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลตนเอง เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีโภชนาการสูง และดื่มน้ำในปริมาณมาก ๆ เพราะร่างกายกำลังต่อสู้ในการกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ อาศัยอยู่ในพื้นที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี ระยะเรื้อรัง ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อลดความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคตับที่รุนแรง และป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น โดยการรักษานั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วย ใช้การรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัส ตามคำแนะนำจากแพทย์

ไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันได้อย่างไร

ไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันได้อย่างไร ?

  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
  • ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรตรวจเช็คตับปีละ 1 ครั้ง

ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ?

  • ทารกแรกเกิด เด็ก
  • วัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
  • ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี
  • บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
  • ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
  • ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ๆ
  • ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น รักร่วมเพศ มีคู่นอนหลายคน

ขอบคุณข้อมูล : sikarin princsuvarnabhumi

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่นี่

  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

Filed Under: ไวรัสตับอักเสบบี Tagged With: ตับอักเสบ, ไวรัสตับอักเสบ, ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี..ภัยเงียบที่ควรระวัง

April 1, 2021 by 365team

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุของโรคตับที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อที่สูงประเทศหนึ่งของโลก ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีส่วนหนึ่งจะมีการอักเสบเรื้อรังของตับ มีโอกาสลุกลามเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้

ไวรัสตับอักเสบบีคือ ?

ไวรัสตับอักเสบบี คือ การอักเสบของตับ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นแล้วได้รับการรักษา พบว่ากว่าร้อยละ 90 หายเป็นปกติ แต่หากปล่อยไม่รีบรักษา อาการจะเรื้อรัง เกิดเป็นพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในที่สุด

ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน ?

  • การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสักตามร่างกาย หรือการเจาะหูที่ไม่สะอาด
  • การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน
  • การติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์มักเกิดการติดเชื้อขณะคลอด
  • การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล

อาการของไวรัสตับอักเสบบีเป็นอย่างไร ?

  • อ่อนเพลียคล้ายเป็นไข้หวัด
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด
  • จุกใต้ชายโครงขวา
  • ปัสสาวะสีเข้ม
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง

ไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่ในช่วงแรกมักไม่แสดงอาการ กว่าจะรู้อาจนำไปสู่มะเร็งตับในที่สุด แต่มีวิธีป้องกันที่จะช่วย ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งตับ คือ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับครอบครัวและคนใกล้ชิด เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามรุนแรงต่อไปได้

ใครบ้างที่ควรตรวจไวรัสตับอักเสบบี ?

ผู้ที่ควรได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้แก่ สามีหรือภรรยาหรือญาติพี่น้องในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือ ผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้ เช่น มีอาการอ่อนเพลียตัวเหลือง ตาเหลือง อุจจาระเป็นสีดำ หรือเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด แนะนำว่าควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกคนแม้ว่าจะไม่มีอาการเพราะการตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว สามารถบอกได้ว่าติดเชื้อไวรัสไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกปีเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป)

ยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีชนิดใดบ้าง?

ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีมี 2 กลุ่มได้แก่

  • ยาฉีด pegylated-interferon alpha
  • ยารับประทาน oral nucleoside/nucleotide analogs

แนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่ สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นใหม่หากร่างกายได้รับเชื้อเช่นกัน ดังนั้นวิธีเบื้องต้นที่สามารถช่วยป้องกันได้ดีที่สุด คือ การตรวจเลือด และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ในกรณีของคู่สมรสควรมีการตรวจเอชไอวีก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนเลือดจากผู้ป่วย แต่หากใครที่มีอาการป่วยใกล้เคียงกับลักษณะที่ได้กล่าวมาข้างต้น หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเขินอายในการเข้ารับการตรวจ >> จองคิวตรวจอาการได้ที่ www. love2test.org

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

  • ทำไมถึงควรตรวจเอชไอวีเป็นประจำ?
  • ความก้าวหน้าของการรักษาเอชไอวีในปัจจุบัน

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, ไวรัสตับอักเสบ, ไวรัสตับอักเสบบี

Primary Sidebar

Recent Posts

  • สาเหตุ อาการ และการรักษา โรคซิฟิลิส
  • การตรวจ HIV ในปัจจุบัน | HIV Test
  • PEP ป้องกัน HIV ในกรณีฉุกเฉิน
  • สารพัดประโยชน์ของถุงยางอนามัย
  • เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”

Archives

  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • November 2021
  • September 2021
  • April 2021
  • November 2020
  • September 2020
  • May 2020
  • April 2020

Categories

  • PEP
  • PrEP
  • Uncategorized
  • ตรวจเอชไอวี
  • ถุงยางอนามัย
  • ยาต้านไวรัส
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • หนองในแท้
  • เอชไอวี HIV
  • เอดส์
  • แผลริมอ่อน
  • โรคซิฟิลิส
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • โรคฝีดาษลิง
  • โรคฝีมะม่วง
  • ไวรัสตับอักเสบบี

Copyright © 2023 · Genesis Sample on Genesis Framework · WordPress · Log in