หูดหงอนไก่ (Genital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) ชนิดที่ทำให้เกิดหูดหรือติ่งเนื้อขรุขระคล้ายหงอนไก่ขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือทวารหนัก ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนังโดยตรง โดยส่วนใหญ่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นทางปาก ทางอวัยวะเพศ หรือทางทวารหนัก
หูดหงอนไก่ สาเหตุเกิดจากอะไร?
สาเหตุที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ คือ การติดเชื้อเชื้อไวรัส HPV ชนิดที่ทำให้เกิดหูด ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังหรือเยื่อบุผนังภายในของผู้ที่เป็นโรคนี้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การสัมผัสผิวหนังโดยตรง ระยะเวลาฟักตัวของเชื้อ HPV เฉลี่ยอยู่ที่ 1 – 3 เดือน แต่อาจนานถึง 8 เดือน อย่างไรก็ตาม ระยะฟักตัวของหูดหงอนไก่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ภูมิคุ้มกันของร่างกาย จำนวนเชื้อที่ได้รับ และความไวต่อเชื้อของแต่ละบุคคล ในระยะแรกผู้ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย จนกระทั่งมีรอยโรคขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ซึ่งรอยโรคอาจมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อสีชมพูหรือขาว ผิวขรุขระเป็นหยักคล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ
อาการของหูดหงอนไก่
หูดหงอนไก่ มักมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อนูนขนาดเล็ก ผิวขรุขระ อาจมีสีขาว ชมพู หรือสีน้ำตาล มักพบบริเวณอวัยวะเพศ ขาหนีบ หรือทวารหนัก โดยทั่วไปแล้ว หูดหงอนไก่จะไม่มีอาการใด ๆ ยกเว้นในกรณีที่หูดมีขนาดใหญ่ หรือมีจำนวนมาก อาจทำให้เกิดอาการคัน แสบ หรือเจ็บได้
การวินิจฉัยหูดหงอนไก่
การวินิจฉัยหูดหงอนไก่สามารถทำได้โดยการตรวจร่างกาย โดยแพทย์จะสังเกตลักษณะของติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อ หากมีลักษณะคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ ก็น่าจะเป็นหูดหงอนไก่ได้ นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- การตรวจด้วยกรดอะซิติกเจือจาง (Acetic acid test) โดยการทากรดอะซิติกเจือจางบริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นหูดหงอนไก่ หากเป็นหูดหงอนไก่ ติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อจะเปลี่ยนเป็นสีขาว
- การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Microscopy) โดยการเอาชิ้นเนื้อจากติ่งเนื้อหรือก้อนเนื้อไปตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาเชื้อไวรัส HPV
- การตรวจด้วยวิธี PCR (Polymerase chain reaction) เป็นการทดสอบหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส HPV
หูดหงอนไก่ ภาวะแทรกซ้อนเป็นอย่างไร?
ภาวะแทรกซ้อนของหูดหงอนไก่ที่พบได้บ่อย ได้แก่
- การติดเชื้อแบคทีเรีย หูดหงอนไก่อาจเกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง และอาจมีหนองไหลออกมาจากหูด
- เลือดออก หูดหงอนไก่อาจเกิดการเลือดออกได้ โดยเฉพาะหากเกิดการถลอกหรือเป็นแผล
- ความผิดปกติของการตั้งครรภ์ หูดหงอนไก่ที่บริเวณปากมดลูกอาจทำให้เกิดความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น การแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด หรือทารกคลอดออกมามีหูดหงอนไก่
- มะเร็ง เชื้อไวรัส HPV บางสายพันธุ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากหรือคอหอยในเพศหญิง และมะเร็งองคชาตหรือมะเร็งทวารหนักในเพศชาย
วิธีการรักษาหูดหงอนไก่
มีวิธีการรักษาหูดหงอนไก่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และจำนวนของหูดหงอนไก่ วิธีการรักษาที่พบบ่อย ได้แก่
- การรักษาด้วยยา แพทย์อาจสั่งจ่ายยาทาหรือยารับประทานที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของหูดหงอนไก่ เช่น ยาอิมิควิโมด (Imiquimod) ยาโพโดฟิลอก (Podofilox) หรือยากรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic acid)
- การรักษาด้วยเลเซอร์ เลเซอร์สามารถทำลายหูดหงอนไก่ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ แต่อาจทำให้เกิดแผลได้
- การผ่าตัด การผ่าตัดสามารถกำจัดหูดหงอนไก่ได้ทั้งหมด แต่อาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
- การจี้เย็น การจี้เย็นโดยใช้ไนโตรเจนเหลวสามารถทำลายหูดหงอนไก่ได้ แต่อาจทำให้เกิดแผลได้
การป้องกันหูดหงอนไก่
- การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ฉีดวัคซีน HPV
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น สบู่ ผ้าเช็ดตัว ฟองน้ำ
- ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์
- ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
หูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกัน คือ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และที่สำคัญ ควรฉีดวัคซีนป้องกัน HPV เพราะสามารถป้องกันโรคหูดหงอนไก่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ