ปัจจุบัน การรักษาเอชไอวี คือการทานยาต้านไวรัส และตรวจเลือดบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อที่จะเช็คปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือด และปริมาณเม็ดเลือดขาว (CD4) แต่สิ่งสำคัญ คือ การให้ความร่วมมือกับการรักษา และต้องมีระเบียบวินัยในการทานยา เพราะหากทานยาเอชไอวีแบบขอไปที และไม่มีความใส่ใจ จะทำให้การทานยาไม่เป็นผล และเชื้อเอชไอวีมีโอกาสดื้อยา ทำให้การรักษายุ่งยากมากยิ่งขึ้น เมื่อเชื้อดื้อยา ทำให้ต้องเปลี่ยนวิธีการรักษา ไปเป็นการทานยาที่แรงขึ้น และผลข้างเคียงมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตไปตลอด เพราะการทานยาเพื่อรักษาเอชไอวี จำเป็นต้องทานไปตลอดชีวิต
Table of Contents
แคมเปญ U=U คืออะไร?
U = U ย่อมาจาก Undetectable = Untransmittable หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า ตรวจไม่พบ=ไม่แพร่ เป็นแคมเปญที่ใช้อธิบาย กรณีของผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ มาเป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 6 เดือน และทำให้ปริมาณไวรัสในเลือดลดลง จนไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ ในกรณีนี้คนดังกล่าวก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีให้คนอื่น ซึ่งคำกล่าวนี้มีงานวิจัยศึกษามาหลายปี จึงค้นพบแล้วว่ าเป็นเรื่องจริงเลยเป็นที่มาของแคมเปญนี้ งานวิจัยดังกล่าวถือเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันยารักษาเอชไอวีปี 2020 ได้พัฒนาขึ้นมามากแล้ว และเอชไอวีก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวเหมือนสมัย 20 ปีที่แล้ว แต่ถึงงานวิจัยจะชี้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริง การป้องกันก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่ดี เพราะกรณีนี้สามารถใช้ได้กับคู่ที่รักกันมานาน และมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันเท่านั้น สำหรับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ตั้งหลักปักฐานก็ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพราะหากไม่ใช้นอกจากจะมีโอกาสรับเชื้อแล้วก็จะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกมากมาย
เอชไอวี สามารถรักษาได้ทันทีเลยไหม?
หากไม่เคยเข้ารับการรักษาเลย แพทย์จะซักประวัติคนไข้อย่างละเอียดก่อนการเริ่มยา จึงทำให้บางครั้งแพทย์จะยังไม่จ่ายยาให้ทานทันที สาเหตุนี้เพราะว่า ยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จนทำให้ในร่างกายเกิดอาการป่วยจนถึงขั้นช็อกได้ ทำให้แพทย์ต้องตรวจดูอย่างละเอียด และอาจมีการแนะนำให้รักษาโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ก่อนจ่ายยารักษาเอชไอวี
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
การเลือกใช้ยารักษาเอชไอวี
ปัจจุบันยารักษาเอชไอวีมีหลายชนิดมาก บางประเทศมียา 10 ชนิด หรือบางประเทศอาจมียามากถึง 30 ชนิดเลยก็ได้ แต่ในส่วนของการเลือกยา แพทย์จะปรึกษาคนไข้ก่อน และทำการจัดตัวเลือกยาที่เหมาะสมให้ หลังผ่านการประเมินเรียบร้อยแล้ว
การรักษาเอดส์
การรักษาเอดส์ คือการให้ยาต้านเชื้อเอชไอวีอย่างเดียว หากไม่มีโรคแทรกซ้อนอื่นใดเลย แต่ถ้ามีก็ต้องรักษาไปตามโรคที่เป็น และด้วยธรรมชาติของคนเป็นเอดส์ที่ติดเชื้อง่ายมาก จะทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลในห้องปลอดเชื้ออยู่ตลอดเวลา เพราะหากมานอนรวมกับคนไข้คนอื่น จะทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ อีกมากมาย สำหรับคนที่ตอบสนองต่อยาต้านเชื้อเอชไอวีได้ไว ก็มีโอกาสที่เม็ดเลือดขาวจะกลับมาสู่ปริมาณปกติได้และกลับมาแข็งแรงได้ แต่สำหรับคนอีกส่วนมากที่ไม่ได้โชคดีขนาดนั้นก็มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะทรุดจากโรคที่เพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ที่มาได้ ทำให้โอกาสรอดชีวิตของคนเป็นเอดส์นั้นเป็นครึ่งต่อครึ่ง