Site icon ThaiHiv365

การตรวจเอชไอวี

ปัจจุบัน การตรวจเอชไอวี มีหลายวิธีที่สามารถทำได้ตั้งแต่วิธีที่ทำด้วยตนเอง ไปจนถึงวิธีที่ต้องทำในห้องทดลองที่ต้องใช้เวลานานกว่าปกติ เช่น

การตรวจด้วยวิธี Anti-HIV 4th generation Rapid Test

การตรวจเอชไอวีด้วยวิธี Anti-HIV 4th Generation Rapid Test: วิธีนี้จะเป็นวิธีตรวจที่ได้ผลถูกต้องแม่นยำสูงมาก และสามารถตรวจได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ หลังจากมีความเสี่ยงรับเชื้อเอชไอวีเป็นต้นไป และเป็นวิธีที่แนะนำโดยองค์กรอนามัยโลกให้เป็นมาตรฐานในการตรวจเอชไอวี ทำให้สถานพยาบาลส่วนมากเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้กันแล้ว ส่วนวิธีก่อนหน้าก็คือ Anti-HIV 3rd Generation Rapid Test ก็ยังมีสถานพยาบาลบางแห่งใช้อยู่ แต่วิธีนี้จะมีความแม่นยำไม่เท่าแบบล่าสุด ทำให้ผลจากการตรวจรุ่นก่อนมีโอกาสเป็นผลลวงสูง เพราะฉะนั้นก่อนตรวจควรสอบถามให้แน่ชัด เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

การตรวจด้วยวิธี HIV PCR test

การตรวจเอชไอวีด้วยวิธี HIV PCR Test: วิธีนี้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถตรวจเอชไอวีได้ ซึ่งจะมีความแม่นยำสูงไม่ต่างกับวิธี Anti-HIV 4th Generation แต่วิธีนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เพราะมีกระบวนการที่ซับซ้อนกว่า ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง และไม่ได้มีความจำเป็นมากนัก แต่ข้อดีคือ วิธีนี้สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์หลังจากมีความเสี่ยงรับเชื้อเอชไอวี

นอกจาก 2 วิธีข้างต้น จะมีวิธีอื่นที่สามารถตรวจเอชไอวีได้เหมือนกัน แต่วิธีอื่นจะใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นที่ต้องตรวจซ้ำ เพื่อยืนยันผลเลือด เช่น ในกรณีที่ตรวจครั้งแรกแล้วผลเลือดเป็นบวก เป็นต้น

การตรวจเอชไอวีด้วยวิธี NAT

NAT เป็นบริการเสริมที่ใช้ตรวจร่วมกับการตรวจ Antibody โดยตรวจหาสายพันธุกรรมของเชื้อ HIV สามารถตรวจได้หลังมีความเสี่ยง 5 วันขึ้นไป

ปกติแล้วคนไทยทุกคนสามารถเข้ารับสิทธิตรวจเอชไอวีได้ฟรีปีละ 2 ครั้งที่สถานพยาบาลรัฐทั่วไป แต่หากเข้าตรวจที่สถานพยาบาลเอกชน ก็จะมีค่าใช้จ่ายแยกย่อยออกมาตามแต่ละสถานที่ หากตรวจแล้วก็สามารถขอผลเลือดเป็นใบผลตรวจเอชไอวีจากสถานพยาบาลนั้น ๆ ได้เพื่อเป็นหลักฐานการตรวจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนตรวจควรคำนึงถึงระยะเวลาการตรวจที่เหมาะสมด้วย เพราะแต่ละวิธีตรวจจะมีระยะเวลาก่อนตรวจได้แตกต่างกัน

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

Exit mobile version