ไวรัสตับอักเสบบี เป็นสาเหตุของโรคตับที่สำคัญของประเทศไทย เนื่องจากมีอัตราการติดเชื้อที่สูงประเทศหนึ่งของโลก ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีส่วนหนึ่งจะมีการอักเสบเรื้อรังของตับ มีโอกาสลุกลามเป็นโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้
Table of Contents
ไวรัสตับอักเสบบีคือ ?
ไวรัสตับอักเสบบี คือ การอักเสบของตับ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBV) ทำให้เซลล์ตับตาย หากเป็นแล้วได้รับการรักษา พบว่ากว่าร้อยละ 90 หายเป็นปกติ แต่หากปล่อยไม่รีบรักษา อาการจะเรื้อรัง เกิดเป็นพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในที่สุด
ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน ?
- การมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสักตามร่างกาย หรือการเจาะหูที่ไม่สะอาด
- การใช้แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน
- การติดต่อจากแม่สู่ทารกในครรภ์มักเกิดการติดเชื้อขณะคลอด
- การสัมผัสกับเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
อาการของไวรัสตับอักเสบบีเป็นอย่างไร ?
- อ่อนเพลียคล้ายเป็นไข้หวัด
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด
- จุกใต้ชายโครงขวา
- ปัสสาวะสีเข้ม
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
ไวรัสตับอักเสบบีส่วนใหญ่ในช่วงแรกมักไม่แสดงอาการ กว่าจะรู้อาจนำไปสู่มะเร็งตับในที่สุด แต่มีวิธีป้องกันที่จะช่วย ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งตับ คือ การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับครอบครัวและคนใกล้ชิด เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้โรคลุกลามรุนแรงต่อไปได้
ใครบ้างที่ควรตรวจไวรัสตับอักเสบบี ?
ผู้ที่ควรได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้แก่ สามีหรือภรรยาหรือญาติพี่น้องในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หรือ ผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้ เช่น มีอาการอ่อนเพลียตัวเหลือง ตาเหลือง อุจจาระเป็นสีดำ หรือเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด แนะนำว่าควรตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกคนแม้ว่าจะไม่มีอาการเพราะการตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว สามารถบอกได้ว่าติดเชื้อไวรัสไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องตรวจทุกปีเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป)
ยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีชนิดใดบ้าง?
ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษาไวรัสตับอักเสบบีมี 2 กลุ่มได้แก่
- ยาฉีด pegylated-interferon alpha
- ยารับประทาน oral nucleoside/nucleotide analogs
แนวทางป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
ไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่ สามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นใหม่หากร่างกายได้รับเชื้อเช่นกัน ดังนั้นวิธีเบื้องต้นที่สามารถช่วยป้องกันได้ดีที่สุด คือ การตรวจเลือด และฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ ในกรณีของคู่สมรสควรมีการตรวจเอชไอวีก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ร่วมกัน และหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนเลือดจากผู้ป่วย แต่หากใครที่มีอาการป่วยใกล้เคียงกับลักษณะที่ได้กล่าวมาข้างต้น หนึ่งในช่องทางที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และไม่ต้องกังวลกับการเขินอายในการเข้ารับการตรวจ >> จองคิวตรวจอาการได้ที่ www. love2test.org
อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม