• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

ThaiHiv365

Never leave someone behind.

  • หน้าแรก
  • จองคิวตรวจเอชไอวี
  • เอชไอวีและเอดส์
    • การรักษาเอชไอวี
    • การป้องกันเอชไอวี
    • การตรวจเอชไอวี
    • เอดส์ คืออะไร
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • โรคหนองในเทียม
    • โรคหนองใน ภัยร้ายใกล้ตัว รู้ก่อนรักษาได้
    • โรคหูดข้าวสุก
    • โรคหูดหงอนไก่
    • โรคเริม
    • แผลริมอ่อน
    • โรคซิฟิลิส
  • เพร็พ PrEP/ เป็ป PEP
    • เพร็พ PrEP
    • เป๊ป PEP
  • บทความ
  • ถาม-ตอบ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

April 25, 2023 by 365team

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) คือการติดเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาจเกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต และอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายชนิด สามารถป้องกันได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าการปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย คืออะไร เหตุใดจึงสำคัญ และคุณจะป้องกันตัวเองและคู่ของคุณ จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างไร

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย คืออะไร?

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย (Safe Sex) หมายถึง การมีเพศสัมพันธ์ที่มีการป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อทางเพศ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย (condom) หรือช่องทางการป้องกันอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่สามารถติดต่อได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพเพศและป้องกันการแพร่กระจายของโรคต่างๆ

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีวิธีปฏิบัติอย่างไร ?

  1. การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางประการเกี่ยวกับวิธีการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
  2. ใช้ถุงยางอนามัย: ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และใช้อย่างถูกต้อง ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ร่วมกับวิธีการคุมกำเนิดอื่นๆ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
  3. เข้ารับการตรวจ: รับการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีคู่นอนหลายคนหรือมีส่วนร่วมในพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง คุณสามารถเข้ารับการตรวจได้ที่สำนักงานของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ คลินิก หรือหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่น
  4. จำกัดคู่นอน: การจำกัดจำนวนคู่นอนที่คุณมีสามารถลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากคุณมีคู่นอนหลายคน ให้แน่ใจว่าได้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
  5. หลีกเลี่ยงการใช้เซ็กส์ทอยร่วมกัน: หากคุณใช้เซ็กส์ทอย ต้องแน่ใจว่าได้ทำความสะอาดอย่างทั่วถึงระหว่างการใช้งานและหลีกเลี่ยงการแบ่งปันกับผู้อื่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถแพร่กระจายผ่านของเล่นทางเพศที่ปนเปื้อน
  6. พูดคุยกับคู่ของคุณ: พูดคุยกับคู่ของคุณเกี่ยวกับประวัติสุขภาพทางเพศและสถานะ STI ก่อนที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเพศ สิ่งนี้สามารถช่วยให้คุณทั้งคู่ตัดสินใจอย่างมีข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติทางเพศอย่างปลอดภัย
  7. ใช้สารหล่อลื่น: สารหล่อลื่นสามารถทำให้การมีเพศสัมพันธ์สะดวกสบายขึ้นและลดความเสี่ยงของการแตกของถุงยางอนามัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำหรือซิลิโคน เนื่องจากสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมันอาจทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพได้
  8. พิจารณาการป้องกันโรคก่อนสัมผัส (PrEP): PrEP เป็นยาที่สามารถรับประทานได้ทุกวันเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี แนะนำสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น ผู้ที่มีคู่นอนหลายคนหรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  9. การคุมกำเนิด: หากคุณมีเพศสัมพันธ์และไม่ต้องการตั้งครรภ์ ให้ใช้รูปแบบการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ เช่น ถุงยางอนามัย การคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน หรืออุปกรณ์ใส่มดลูก (IUD) อย่าลืมหารือเกี่ยวกับทางเลือกของคุณกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..มีความสำคัญอย่างไร

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยมีความสำคัญอย่างไร ?

การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การใช้ถุงยางอนามัย การจำกัดคู่นอน และการตรวจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างมาก

การป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

ถุงยางอนามัยยังมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย เป็นรูปแบบการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับวิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ

การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำสามารถช่วยปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณโดยการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ และให้การรักษาอย่างทันท่วงที โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรง

การปกป้องสุขภาพทางเพศของคู่ของคุณ

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยไม่เพียงแต่ปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคู่ของคุณด้วย คุณสามารถช่วยป้องกันการแพร่เชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปยังคู่ของคุณได้โดยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่

  • ปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆลักษณะอาการของ”หนองในเทียม”
  • เอชไอวี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

โดยสรุป การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องสุขภาพทางเพศของคุณและป้องกันการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ รับการทดสอบอย่างสม่ำเสมอ จำกัดคู่นอนของคุณ และพูดคุยกับคู่ของคุณเกี่ยวกับแนวปฏิบัติทางเพศที่ปลอดภัย

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: Condom, Safe Sex, ถุงยาง, ถุงยางอนามัย, ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆลักษณะอาการของ”หนองในเทียม”

April 20, 2023 by 365team

ปัสสาวะแสบขัดบ่อยๆลักษณะอาการของหนองในเทียม

หนองในเทียม หรือ Non-Gonococcal Urethritis เป็นโรคติดเชื้อทางเพศที่กระทบกับท่อปัสสาวะทั้งผู้ชายและผู้หญิง โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช่โรค Gonorrhea ดังนั้นชื่อของโรคเรียกว่า “Non-Gonococcal Urethritis ” โรคหนองในเทียม เป็นโรคติดเชื้อทางเพศที่พบได้บ่อยและไม่แสดงอาการ (อาจไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ)

อาการของหนองในเทียม

อาการของโรคหนองในเทียม จะมีอาการที่แตกต่างกันแล้วแต่บุคคล บางคนอาจไม่มีอาการเลย หรือบางคนอาจมีอาการที่หลากหลาย อาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคหนองใน

อาการหนองในเทียมผู้ชายได้แก่:

  • ความเจ็บหรือความรู้สึกตึงเครียดในช่วงการปัสสาวะ
  • การไหลของน้ำคั่งจากอวัยวะเพศชาย
  • ความเจ็บหรือความไม่สบายในท่อปัสสาวะ
  • การบวมหรือความเจ็บปวดที่ลูกอัณฑะ

อาการหนองในเทียมผู้หญิงได้แก่:

  • ความเจ็บหรือความรู้สึกตึงเครียดในช่วงการปัสสาวะ
  • การไหลของสารเหลืองผิดปกติจากช่องคลอด
  • การเลือดออกระหว่างรอบประจำเดือนหรือหลังจากเพศสัมพันธ์
  • ความเจ็บหรือความไม่สบายในช่วงการมีเพศสัมพันธ์
สาเหตุของโรคหนองในเทียม

สาเหตุของโรคหนองในเทียม

โรคหนองในเทียมเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ใช่Gonorrhea เชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมคือ

  • คลามิเดีย  chlamydia
  • ตราโคมาติส trachomatis
  • ไมโคพลาสมา  mycoplasma
  • เจนิทาเลียม genitalium

การวินิจฉัยของโรคหนองในเทียม

แพทย์จะซักประวัติและพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของผู้ป่วย จากนั้นจะทำการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากบริเวณที่มีการร่วมเพศเพื่อส่งตรวจ การเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งสามารถทำได้ 2 วิธี

  • การเก็บตัวอย่างเชื้อไปตรวจ (Swap Test) คือการใช้ไม้พันสำลีเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งที่บริเวณปากมดลูก ปลายท่อปัสสาวะ ทวารหนัก หรือลำคอ เพื่อนำไปตรวจหาเชื้อ
  • การตรวจปัสสาวะ (Urine Test) คือการเก็บตัวอย่างปัสสาวะของผู้ป่วยไปตรวจ ควรเป็นปัสสาวะที่ทิ้งระยะจากการปัสสาวะครั้งล่าสุด 1-2 ชั่วโมง

 การรักษาโรคหนองในเทียม

การรักษาโรคหนองในเทียม จะรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น 

  • azithromycin
  • doxycycline

ในระหว่างที่รับการรักษาหนองในเทียม ผู้ป่วยควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด และควรใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามคุณหมอส่งเพื่อป้องกันการดื้อยาและการกลับมาติดเชื้อซ้ำ

การป้องกันโรคหนองในเทียม

การป้องกันโรคหนองในเทียม

  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย 
  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • ตรวจคัดกรองหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

  • เอชไอวี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน
  • แผลริมอ่อน | Chancroid

โรคหนองในเทียม เป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในผู้ชายและผู้หญิง อาการที่พบบ่อย คือ มีอาการเจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนขณะการปัสสาวะ รักษาได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะ และการป้องกันโรคหนองในเทียมคือ การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: ป้องกันหนองใน, หนองใน, หนองในเทียม, อาการหนองในเทียม, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อวัยวะเพศชาย ดูแลให้เป็น ช่วยห่างไกลโรค

February 21, 2023 by thaihiv365 team

อวัยวะเพศเป็นอะไรที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด แต่คุณรู้จัก อวัยวะเพศชาย ของตัวเองจริงๆ หรือเปล่า!? เพราะส่วนนี้ ถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ที่ควรได้รับการดูแล และใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดโรค หรือเมื่อพบความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จะได้รีบทำการรักษาทันที โรคร้ายจะไม่ลุกลาม วันนี้เรามีข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูแล อวัยวะเพศชาย มาฝากกันครับ

อวัยวะเพศชาย ดูแลให้เป็น ช่วยห่างไกลโรค

องค์ประกอบของอวัยวะเพศชาย

อวัยวะเพศชาย ประกอบไปด้วยหลายส่วนด้วยกัน ได้แก่ องคชาต อัณฑะ ท่อนำอสุจิ ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมขับเมือก เป็นต้น โดยแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป หน้าที่ของอวัยวะเพศชาย หรือที่เราตั้งชื่อเล่นกันว่า “จู๋” คือเป็นทางออกของปัสสาวะ ช่วยผลิตฮอร์โมนและเชื้ออสุจิ สร้างความสุขทางเพศและจำเป็นมากกว่าการใช้เพื่อมีเพศสัมพันธ์

ข้อดีของการใส่ใจความสะอาด อวัยวะเพศชาย

อวัยวะเพศชาย เป็นส่วนที่บอบบางไม่แพ้กับอวัยวะเพศหญิงเลยทีเดียว การใส่ใจดูแลความสะอาดจึงไม่ต่างจากอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพทางเพศต่างๆ ที่อาจจะมีได้ รวมทั้งป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ บริเวณน้องชายของเรา ลดการเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียได้ด้วย

อวัยวะเพศชาย กับขี้เปียก

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรกังวล ถ้าไม่ทำความสะอาดอวัยวะเพศชายให้ดีพอ คือ “ขี้เปียก” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Smegma ซึ่งเป็นคราบสกปรกที่เกาะตามอวัยวะเพศชาย เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ไขมัน และคราบของเหลวที่ร่างกายผลิตขึ้นมา เพื่อช่วยให้บริเวณอวัยวะเพศชายมีความชุ่มชื้น การเกิดขี้เปียกอาจทำให้คัน และระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ หากปล่อยไว้นานมีโอกาสทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะปลายอวัยวะเพศชายอักเสบได้ด้วย

วิธีดูแล อวัยวะเพศชาย ที่ถูกต้อง

  • ทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำ เพื่อสุขอนามัยที่ดี คุณควรอาบน้ำ และทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกวัน เช้า-เย็น สามารถล้างด้วยสบู่อ่อนๆ หรือหรือน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดที่มีค่าสมดุลกับอวัยวะเพศ โดยดึงหนังหุ้มองคชาต ให้ร่นขึ้นมาจนถึงคอคอด เพื่อล้างเหงื่อไคลและคราบปัสสาวะที่หมักหมมอยู่จากการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากมีเพศสัมพันธ์ ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศ ทั้งก่อนและหลังเสร็จกิจเสมอ
  • เลือกกางเกงในที่สวมใส่สบาย ไม่คับแน่นหรือผ้าหนาจนเกินไป เพราะอาจทำให้รู้สึกเกิดความอึดอัดบริเวณอวัยวะเพศได้ รวมทั้ง ควรเปลี่ยนกางเกงในใหม่ทุกวัน เพื่อลดการหมักหมมและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
  • ปัสสาวะให้หมดจริงๆ ไม่ควรรีบร้อน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดแบคทีเรียเจริญเติบโตที่อวัยวะเพศได้
  • การใช้กระดาษทิชชู่เช็ดหลังปัสสาวะ ควรระมัดระวังไม่ให้หลุดเข้าไปที่ปลายท่อปัสสาวะ และควรเลือกใช้ทิชชู่ที่มีคุณภาพดี สะอาด ถูกอนามัย ไม่แต่งสีและกลิ่น เพราะทิชชู่อาจทำให้อวัยวะเพศเกิดอาการคันหรือแพ้ได้
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่ากับใครก็ตามเพื่อป้องกันไวรัสเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
วิธีดูแล อวัยวะเพศชาย ที่ถูกต้อง
  • หมั่นสังเกตความผิดปกติของอวัยวะเพศอยู่เสมอ เช่น อวัยวะเพศมีผื่นคัน มีแผลบวม ปัสสาวะมีอาการแสบร้อน หรือแสบขัด มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ มีรอยแดง ไฝจุดสีเข้ม หรือตุ่มน้ำ หากมีความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที
  • สามารถทำการกระตุ้นอวัยวะเพศหรือที่เรียกว่าการนวดบริหาร อาจนวดเบาๆ ตอนอาบน้ำ หรือเวลาที่สะดวก เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบหลอดเลือด ไขมันในเส้นเลือดเกิดการสลายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เหมาะสมประมาณ 23:00-24:00 น. โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมา ฮอร์โมนความเครียดจากต่อมหมวกไตจะพักการทำงาน และเป็นช่วงเวลาที่ถุงน้ำดีขับสารพิษ ซึ่งถ้ายังไม่ได้นอนหลับสารพิษก็กลับเข้าสู่ตับ ส่งผลเสียต่อสุขภาพทำให้แก่เร็วและเสื่อมสมรรภภาพได้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี เสริมสมรรถภาพทางเพศ และทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
  • เลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย และฮอร์โมน ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และลดการสูบบุหรี่ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
  • ตรวจฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญเกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศ เส้นผม เส้นขนต่างๆ ในร่างกายและการผลิตสเปิร์ม หากฮอร์โมนเพศชายลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกาย

ดังนั้นการดูแลรักษา อวัยวะเพศชาย ให้มีสุขภาพดีที่กล่าวมาข้างต้น จึงมีประโยชน์อย่างมาก และที่สำคัญ คือ ถ้าสุขภาพน้องชายของคุณแข็งแรงดี การแข็งตัวระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ก็จะดีตามไปด้วย ทำให้กิจกรรมทางเพศของคุณมีความสุขมากยิ่งขึ้น จึงควรเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพอวัยวะเพศชายตั้งแต่วันนี้ครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่นี่

  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: ขี้เปียก, จู๋, สุขภาพทางเพศ, อวัยวะเพศชาย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

October 27, 2022 by thaihiv365 team

1.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบางอย่างสามารถรักษาได้เพื่อให้คุณ และคู่นอนของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณเองสามารถป้องกันตัวเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

STI  คืออะไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections; STI)  คือ การติดเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยผ่านการจูบ, การสัมผัสหรือถูอวัยวะเพศ, การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (การใช้ปากกับอวัยวะเพศ), การร่วมเพศ (องคชาตในช่องคลอด องคชาตในทวารหนัก), การใช้เซ็กซ์ทอย รวมถึง การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และหลังคลอด

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด

  • เชื้อ HIV
  • โรคหนองใน
  • โรคหนองในเทียม
  • โรคหูดหงอนไก่และเชื้อ HPV
  • โรคเริม
  • โรคซิฟิลิส
  • โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบบี และโรคไวรัสตับอักเสบซี

ใครเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย กับบุคคลเหล่านี้จะทำให้คุณมีแนวโน้มการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้มากขึ้น เช่น คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราว, มีคู่นอนหลายคน หรือมีกิจกรรมทางเพศบ่อย
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ชายคนอื่น
  • อายุน้อย ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์
  • เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต
  • ดื่มสุรา 
  • ใช้สารเสพติด

เมื่อไหร่ที่ควรมาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (ทั้งผ่านทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางหวารหนัก)
  • มีอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่บริเวณอวัยวะเพศของคุณ ได้แก่ องคชาต, ลูกอัณฑะ, ช่องคลอด, ปากช่องคลอด, ทวารหนัก โดยมีอาการดังนี้ เป็นผื่นหรือคันที่อวัยวะเพศ, มีสารคัดหลั่งจากองคชาต ช่องคลอด หรือทวารหนัก, อาการแสบเวลาปัสสาวะ, เจ็บแผล เป็นตุ่ม หรือมีหนอง, มีติ่งหรือก้อนเนื้อขึ้นบริเวณผิวหนัง, เจ็บปวดที่อวัยวะเพศหรือท้องน้อย, มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
  • กังวลว่าคุณอาจติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ถุงยางอนามัยของคุณฉีกขาดหรือหลุดออกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
  • คู่นอนของคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น
  • ใช้เข็ม หลอดฉีดยา และช้อนในการฉีดสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น

จะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสงสัยว่าอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

เมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเพิ่งมีความเสี่ยงในการติดโรค ควรรีบปรึกษาแพทย์ และงดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่นจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย และแนะนำให้คู่นอนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เข้ารับการตรวจรักษาด้วย 

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาหาย และไม่หาย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาหาย

  • หนองใน
  • หนองในเทียม  
  • ซิฟิลิส  
  • ทริคโคโมแนส  
  • กามโรคของท่อและต่อม 
  • น้ำเหลือง  
  • แผลริมอ่อน  
  • หิดและโลน  
  • ตับอักเสบเอ  
  • หูดข้าวสุก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาไม่หายขาด

  • เอชไอวี  
  • เริมอวัยวะเพศ  
  • หูดหงอนไก่  
  • ตับอักเสบบี
  • ตับอักเสบซี 
วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำอย่างไรได้บ้าง

  • การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ การมีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ 
  • การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์  และการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก  ตรวจสอบวันที่ใช้งานเสมอ เนื่องจากถุงยางอนามัยเก่าอาจฉีกขาดได้ง่าย
  • ใช้แผ่นยางทันตกรรม (แผ่นยางบาง ๆ ที่ใช้เป็นตัวกั้น) สำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก
  • ใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำเพื่อช่วยลดโอกาสการฉีกขาดของถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย  อย่าใช้วาสลีนหรือน้ำมันนวดตัว เพราะอาจทำให้ถุงยางหรือแผ่นยางอนามัยเสื่อมหรือฉีกขาดได้ง่าย
  • ใช้ถุงยางอนามัยใหม่หรือแผ่นยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่คุณมีเพศสัมพันธ์ (ถึงแม้ว่าคุณหรือคู่นอนของคุณจะไม่หลั่งน้ำกามออกมา) อย่าล้างถุงยางอนามัยและนำกลับมาใช้อีก
  • หากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนมากกว่าหนึ่งคน (มีเพศสัมพันธ์แบบสามคนหรือแบบเป็นกลุ่ม) เปลี่ยนถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางทันตกรรมใหม่สำหรับแต่ละคน
  • เมื่อใช้เซ็กซ์ทอยในการมีเพศสัมพันธ์แบบสามคนหรือแบบเป็นกลุ่ม ให้ใช้ถุงยางอนามัยใหม่สำหรับแต่ละคน
  • หากคุณหรือคู่นอนของคุณมีอาการ อย่าสัมผัสหรือถูบริเวณนั้น
  • หากคุณคิดว่า คุณเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่ามีเพศสัมพันธ์อีกจนกว่าคุณจะไปพบแพทย์
  • การตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้และหนองในเทียมปีละครั้ง โดยเฉพาะหญิงอายุน้อยกว่า 25 ปีที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือกลุ่มชายรักชาย และการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสอย่างน้อยปีละครั้งในกลุ่มชายรักชาย
  • การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สำหรับคนที่มีอายุ 9-45 ปี โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

ทำความรู้จักกับ โรคฝีดาษลิง

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – About STIs (Thai) https://www.staystifree.org.au/about-stis/about-stis-thai
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ https://www.pidst.or.th/A732.html

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: Sexually transmitted infections, STI, เพศสัมพันธ์, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

September 23, 2022 by thaihiv365 team

โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

หูดชนิดนี้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก คือ ติดต่อได้จากผิวหนังสู่ผิวหนัง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบในผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่  จะขึ้นที่บริเวณอวัยะเพศ สามารถพบได้ทั้งในชายและหญิง แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) คืออะไร

โรคหูดหงอนไก่ (Genital warts, Condyloma acuminata)  เกิดจากการเชื้อไวรัส ฮิวแมน แปปิโลมา (Human Papilloma Virus – HPV) โดยมีลักษณะเป็นตุ่มๆ หรือติ่งเนื้อสีชมพู หรือขาว ผิวขรุขระเป็นหยักคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ บริเวณที่พบส่วนมากจะเป็นบริเวณปากช่องคลอด รองลงมาคือที่แคมคลิตอริส รอบทวารหนัก ผนังช่องคลอด และปากมดลูก โดยจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่จะพบได้ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ทั้งหญิง และชาย แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้หญิงมากกว่า ในบางครั้งอาจเรียกโรคนี้ว่า หงอนไก่, หูดอวัยวะเพศ หรือ หูดกามโรค

ระยะฟักตัวของโรค

ตั้งแต่รับเชื้อมาจนเกิดอาการจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน – 2 ปี หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 3-4 เดือน

สาเหตุของโรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่ เป็นหูดที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ฮิวแมน แปปิโลมา (Human Papilloma Virus – HPV) ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีเชื้อชนิดนี้กว่า 200 สายพันธุ์ย่อย บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดที่ผิวหนัง บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ บางสายพันธุ์ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระ 

สำหรับเชื้อที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่นั้น พบว่าประมาณ 90% เกิดจากสายพันธุ์ย่อย 6 และ 11 ซึ่งมีโอกาสทำให้เกิดโรคมะเร็งค่อนข้างต่ำ (ส่วนเชื้อชนิดที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์และทางเดินอุจจาระ คือ HPV สายพันธุ์ย่อย 16 และ 18 ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้คือ สายพันธุ์ 33, 35, 39, 40, 43, 45, 51-56, 58)

ส่วนใหญ่โรคนี้มักติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก มักพบได้ในกลุ่มวัยรุ่น และที่พบได้ในจำนวนน้อยมาก ๆ คือการติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในระหว่างการคลอด ในกรณีที่เด็กคลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่เป็นโรคหูดหงอนไก่

ผู้ที่สัมผัสเชื้อนี้อาจจะไม่ติดโรคทุกราย เพราะขึ้นอยู่กับภาวะภูมิคุ้มกันและจำนวนเชื้อที่ได้รับ โดยเมื่อผิวหนังได้รับเชื้อหรือติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ผ่านทางรอยถลอกที่ผิวหนัง ก็จะมีระยะฟักตัวของโรคที่ยังไม่แสดงอาการได้หลายเดือนหรือหลายปี เมื่อผ่านระยะฟักตัวไปแล้ว เชื้อไวรัสก็จะเกิดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เกิดการสร้างเซลล์ที่ผิดปกติในชั้นผิวหนัง โดยปกติแล้วร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสชนิดนี้ออกได้เอง แต่มีส่วนน้อยที่เชื้อไวรัสจะไม่ถูกกำจัด และหากเป็นไวรัสสายพันธุ์รุนแรงก็จะมีโอกาสเกิดเป็นมะเร็งในตำแหน่งที่เกิดการติดเชื้อได้

สาเหตุของการเกิดซ้ำ

โรคหูดหงอนไก่ สามารถเกิดซ้ำได้ถึงร้อยละ 30-70 ในระยะเวลา 6 เดือนหลังสิ้นสุดการรักษา สาเหตุเป็นได้ตั้งแต่ยาไม่มีประสิทธิภาพ การติดเชื้อซ้ำจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการเกิดรอยโรคจากเชื้อในร่างกายตนเอง 

อาการของโรคหูดหงอนไก่

  • คนส่วนใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันดี หลังจากได้รับเชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วมักจะไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา เชื้อเหล่านี้ก็จะถูกกำจัดออกไปได้เองภายใน 2 ปี (ยกเว้นในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ) แต่ก็ยังมีผู้ติดเชื้อบางส่วนที่อาจแสดงอาการออกมาให้เห็นหลังรับเชื้อเข้าไปแล้วหลายเดือนหรือหลายปี
  • มีอาการคัน หรือไม่มีอาการใด ๆ เลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นมากก้อนเนื้อหูดก็จะใหญ่ขึ้นและมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทำให้ในผู้ชายอาจมีปัญหาเรื่องปัสสาวะไม่ออก ส่วนในผู้หญิงอาจตามมาด้วยอาการมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 
  • นอกจากนี้ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ หญิงที่มีอาการตกขาว หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นโรคเบาหวาน หรือเป็นผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด หูดหงอนไก่จะเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าปกติ (ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อนี้จะมีอาการของโรคมากกว่าคนทั่วไป ส่วนในผู้ป่วยเอดส์จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ซึ่งมักจะขึ้นหลายแห่งและเป็นแบบเรื้อรัง)
ควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ

การวินิจฉัยโรคหูดหงอนไก่

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้จากการดูลักษณะของรอยโรคเฉพาะที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า หรืออาจตรวจยืนยันได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยาจากชิ้นเนื้อตรงรอยโรค เนื่องจากรอยโรคที่มีหลากหลายของหูดหงอนไก่อาจทำให้เกิดความสับสนกับโรคอื่น ๆ ได้ เช่น หูดข้าวสุก ไฝ โรคผิวหนังบางชนิด ผื่นของโรคซิฟิลิสระยะที่ 2 ไปจนถึงลักษณะที่ผิดปกติของอวัยวะเพศของบางคนที่มีติ่งยื่นออกมาคล้ายหูดหงอนไก่

โดยดูลักษณะหูดที่เกิดขึ้น ดังนี้คือ

  • ถ้าเป็นติ่งเนื้อสีชมพูงอกบานออกทางด้านนอกคล้ายหงอนไก่ หรือดอกกะหล่ำ สำหรับผู้ชายมักเป็นที่ด้านในของหนังหุ้มปลายองคชาติ ผู้ชายรักเพศเดียวกันพบรอบทวารหนัก ผู้หญิงพบที่ปากช่องคลอด
  • หูดชนิดแบนราบพบที่ปากมดลูก ลักษณะแบนราบ ส่วนใหญ่เกิดจาก HPV 16 เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก
  • หูดชนิดกลุ่มลักษณะเป็นตุ่มขนาด 3–4 มิลลิเมตร สีน้ำตาลแดง ม่วง หรือดำ ผิวเรียบ หรือขรุขระเล็กน้อย
  • หูดก้อนใหญ่ลักษณะเป็นหูดขนาดใหญ่ที่โตเร็วมาก จนกลายเป็นก้อนใหญ่ปกคลุมอวัยวะเพศทั้งหมด
  • ในกรณีที่แพทย์ยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่จริง ผู้ป่วยควรตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ด้วยเสมอ เช่น โรคซิฟิลิส โรคเอดส์ หนองใน พยาธิในช่องคลอด ฯลฯ เพราะมักพบเกิดร่วมกันได้ (การติดเชื้อเหล่านี้ร่วมด้วยจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะแสบ มีตกขาว คัน หรือมีแผลที่อวัยวะเพศเพิ่มขึ้น) 
  • นอกจากนี้แพทย์ยังอาจมีการตรวจเพิ่มเติมหรือตรวจสืบค้นด้วยวิธีอื่น ๆ ตามแต่กรณีหากสงสัยว่ามีหูดหงอนไก่ในบริเวณที่พบได้บ่อย เช่น การใช้กล้องส่องตรวจดูช่องคอหรือที่ทวารหนัก เป็นต้น ส่วนในกรณีที่ยังไม่มีรอยโรคหรือยังไม่เห็นเป็นก้อนหูด แพทย์จะยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคนี้ได้

การรักษาโรคหูดหงอนไก่

  1. ทาด้วยยาโพโดฟิลลิน (Podophyllin) ชนิด 25% แต่ต้องระวังไม่ให้ถูกเนื้อดี โดยให้ใช้วาสลีนทาปิดเนื้อดีโดยรอบเอาไว้ก่อน หลังจากทายาประมาณ 4-6 ชั่วโมงแล้วให้ล้างออก และต้องทาซ้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งมักจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค
  2. ทาด้วยกรดไตรคลอโรอะซิติก หรือ ทีซีเอ (Trichloroacetic Acid – TCA) ชนิด 50-70% โดยไม่ต้องล้างออก และระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี หลังจากทายาประมาณ 1 ชั่วโมงไม่ควรให้บริเวณที่ทายาโดนน้ำ และต้องรักษาซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหมดไป ตัวยานี้จะมีฤทธิ์ทำให้โปรตีนในเซลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย ทำให้หูดที่มีก้านหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน 
  3. ทาด้วยครีมอิมิควิโมด (Imiquimod cream) ชนิด 5% เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้กำจัดเชื้อเอชพีวี (HPV) ออกไป โดยให้ทายานี้วันเว้นวันในช่วงก่อนเข้านอน ติดต่อกันเป็นเวลา 16 สัปดาห์ เป็นวิธีรักษาในหูดหงอนไก่ชนิดราบที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณเยื่อเมือก ยาทานี้มีราคาแพง แต่ผู้ป่วยสามารถนำกลับมาทาเองที่บ้านได้ 
  4. ทาด้วยยาโพโดฟิลอกซ์ (Podofilox) ชนิด 0.5% มีทั้งรูปแบบเจลและครีม ผู้ป่วยสามารถนำมาใช้ทาเองได้ที่บ้าน โดยวิธีการใช้ให้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน แต่ไม่เกิน 4 รอบ 
  5. รักษาด้วยการจี้ไฟฟ้า (Electrocauterization) หรือจี้ด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (Laser ablation) เพื่อตัดรอยโรคออก ใช้วิธีลดความเจ็บปวดในการรักษาด้วยการฉีดยาชาเฉพาะที่ แพทย์มักใช้รักษาหูดขนาดใหญ่ที่รักษาด้วยวิธีอื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ผล
  6. รักษาด้วยการจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy) เป็นการใช้ไม้พันสำลีชุบด้วยไนโตรเจนเหลว (Liquid nitrogen) แล้วนำมาป้ายหรือพ่นเป็นสเปรย์ลงที่รอยโรค เพื่อให้ความเย็นสัมผัสรอยโรคเป็นเวลานานประมาณ 10-15 วินาที และต้องระวังอย่าให้ถูกผิวหนังที่ดี ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบ้างในขณะทำการรักษา แต่เป็นระดับที่สามารถทนได้โดยไม่ต้องใช้ยาชา และภายหลังการรักษาอาจทำให้มีรอยดำได้ การรักษาด้วยวิธีนี้จะต้องทำซ้ำทุก 2 สัปดาห์จนกว่ารอยโรคจะหาย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของรอยโรค
  7. รักษาด้วยวิธีการตัดหูดหงอนไก่ออกด้วยมีดผ่าตัด (Surgical excision) โดยจะอาศัยการฉีดยาชาเฉพาะที่ วิธีการรักษานี้เป็นวิธีที่ช่วยลดการกลับมาเป็นซ้ำของหูดหงอนไก่ได้มากที่สุด มักใช้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ หรือในรายที่เป็นหูดหงอนไก่ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงตั้งครรภ์
  8. รักษาด้วยการขูดเอาเนื้องอกออก (Curettage)
วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV

การป้องกันโรคหูดหงอนไก่

1.มีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน และไม่ควรมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ เพราะจะยิ่งมีโอกาสติดเชื้อเพิ่มขึ้น
2.หากต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) แม้การใช้ถุงยางอนามัยอาจไม่สามารถป้องกันหูดหงอนไก่ได้ 100% แต่ก็เป็นการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี 
3.เมื่อพบรอยโรคต้องสงสัยหรือความผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นหูดหงอนไก่ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาให้หายก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคไปสู่บริเวณเนื้อเยื่อเมือกอื่น ๆ หรือการติดต่อสู่ผู้อื่น
4.ในปัจจุบันได้มีการผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV 4 สายพันธุ์สำคัญออกมาในเข็มเดียวกัน คือ 

  • HPV 6, 11 ซึ่งเป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่ 
  • HPV 16,18 ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด และมะเร็งทวารหนัก  

ซึ่งวัคซีนนี้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 6, 11, 16, 18 หากฉีดก่อนการติดเชื้อ ดังนั้นควรแนะนำให้มีการฉีดทั้งในเด็กหญิงและเด็กชายที่มีอายุระหว่าง 11-12 ปี สำหรับการป้องกันหูดหงอนไก่ หลังจากฉีดวัคซีนแล้วก็ยังแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยต่อไปและมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่นอนของตน

การดูแลรักษาตัวเองระหว่างเป็นโรคหูดหงอนไก่

  1. ติดตามการรักษาโดยการมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  2. หมั่นตรวจอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อหารอยโรคอยู่เสมอ
  3. งดการมีเพศสัมพันธ์ในระหว่างการรักษา แต่หากมีความจำเป็นก็ควรใช้ถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อ
  4. ควรล้างมือให้สะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์บ่อย ๆ เป็นประจำ และหากสัมผัสรอยโรคให้ล้างบริเวณที่สัมผัสและล้างมือให้สะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์
  5. รักษาสุขอนามัยพื้นฐานให้ครบถ้วน เช่น การดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด, ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ, รับประทานอาหารที่สุกสะอาด
  6. ในรายที่มีหูดหงอนไก่ขึ้นหลายแห่ง หรือเป็น ๆ หาย ๆ อยู่บ่อย ๆ ควรไปตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือไม่
  7. ในผู้หญิงที่เป็นหูดหงอนไก่บริเวณปากมดลูก อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเอดส์หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มขึ้น เช่น สูบบุหรี่หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลานาน ฯลฯ ดังนั้น จึงควรหาทางหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านี้ และควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกในระยะแรกเริ่มอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
  8. ในระหว่างการรักษาหูดหงอนไก่ หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษามีอาการเจ็บ แดง ระคายเคืองเป็นบริเวณกว้าง หรือผู้ป่วยมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่ ควรรีบไปพบแพทย์ก่อนนัดเสมอ
  9. งดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ใช้สารเสพติด
  10. งดสำส่อนทางเพศ
  11. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส เป็นต้น
  12. ระหว่างรักษาหูดหงอนไก่ หากมีอาการผิดปกติ หรือกังวลใจในอาการที่เป็นอยู่ ควรรีบพบแพทย์ก่อนนัด

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

โรคเริม (Herpes) – โรคติดต่อที่พบบ่อย

กามโรคคืออะไร?

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • โรคหูดหงอนไก่ https://www.mplusthailand.com/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ/หูดหงอนไก่/
  • หูดหงอนไก่ (CONDYLOMA ACUMINATUM) https://www.paolohospital.com/th-TH/phahol/Article/Details/บทความ-สุขภาพผู้หญิง/หูดหงอนไก่-(Condyloma-acuminatum)
  • หูดหงอนไก่ คืออะไร? https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/933
  • หูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata) https://sites.google.com/site/napassnt/home/12
  • หูดหงอนไก่ https://www.pobpad.com/หูดหงอนไก่
  • หูดหงอนไก่ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคหูดหงอนไก่ 10 วิธี !! https://medthai.com//หูดหงอนไก่/

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: Condyloma Acuminata, Genital warts, สาเหตุของโรคหูดหงอนไก่, โรคหูดหงอนไก่, ไวรัส ฮิวแมน แปปิโลมา

โรคเริม (Herpes) – โรคติดต่อที่พบบ่อย

August 31, 2022 by thaihiv365 team

โรคเริม (Herpes)

เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย โดยมักพบผู้ป่วยวัยหนุ่มสาว และวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเริมส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการของโรค  หากเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก เพราะเมื่อเป็นแล้วอาจทำให้การรักษาให้หายขาดได้ยาก

โรคเริม (Herpes) คืออะไร

เริม (Herpes) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งของผิวหนังและเยื่อเมือกต่าง ๆที่พบบ่อยมากบริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว ทำให้มีลักษณะพุขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผล ตกสะเก็ด ซึ่งหายได้เอง แต่มักกำเริบซ้ำและเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักมีอาการกำเริบได้บ่อยและรุนแรงกว่าปกติ  

ระยะฟักตัวของโรค

หลังจากได้รับเชื้อครั้งแรกจนกระทั่งแสดงอาการจะใช้เวลาประมาณ 2-20 วัน

สาเหตุการเกิดโรคเริม

โดยเชื้อไวรัสเริมแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 1 (Herpes Simplex Virus type 1: HSV-1)  มักพบการติดเชื้อบริเวณปากหรือรอบๆ ปาก เกิดขึ้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น มีความเครียด พักผ่อนน้อย ร่างกายอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการเจ็บป่วยหรือผ่าตัด หรือ แม้แต่ช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือน ก็สามารถป่วยด้วยโรคนี้ได้ เช่น อาการเริมที่ปาก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
  • เชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ ชนิดที่ 2 (Herpes Simplex Virus type 2: HSV-2) เป็นการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์ หรือ อวัยวะเพศ ช่องคลอด ปากมดลูก ทหารหนัก อวัยวะเพศชาย ถุงอัณฑะ เป็นต้น พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

การติดเชื้อทั้ง 2  ชนิดนั้น สามารถเป็นปัจจัยสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายได้เช่นกัน เมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น การติดเชื้อที่สมอง และอวัยวะสำคัญต่างๆ

HSV-1 และ HSV-2 เหมือนกันหรือไม่ ?

เชื้อไวรัสทั้ง 2 ชนิด สามารถทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศได้ทั้งคู่ แต่โดยส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 70-90 เปอร์เซ็นต์  ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) เกิดในตำแหน่งที่สูงกว่าเอว พบมากบริเวณริมฝีปากและจมูก และร้อยละ 70-90 ของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เกิดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเอว ซึ่งนั่นหมายถึงบริเวณอวัยวะเพศ

โรคเริมเกิดที่ไหนได้อีกบ้าง

โรคเริมเกิดที่ไหนได้อีกบ้าง

นอกจากโรคเริมจะพบได้บ่อยที่บริเวณปาก และอวัยวะเพศแล้ว โรคเริ่มยังสามารถเกิดขึ้นกับบริเวณอื่นได้เช่นกัน

  1. เริมที่ริมฝีปาก เริมในปาก เริมที่มุมปาก
    เริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนและคันบริเวณปากก่อนเกิดผื่น จากนั้นผื่นจะพัฒนาเป็นตุ่มใส และอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยมักจะมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย อาการของโรคแทรกซ้อนที่อาจพบคือ เชื้อไวรัสแพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้ออาจทำให้เสียชีวิตได้
  2. เริมที่ขา
    เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเสียว อาจมีอาการปวดแปลบมาก่อนที่จะเกิดตุ่มน้ำใสขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะขึ้นกันเป็นกลุ่ม
  3. โรคเริมที่จมูก หรือ โรคเริมที่ตา
    มีตุ่มน้ำใสเกิดเป็นกระจุกหรือกลุ่ม เมื่อมีอาการผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด ถ้าพบว่ากระจกตาอักเสบจาก Herpes simplex virus แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสแบบทา  ซึ่งปกติมักจะหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
  4. เริมที่คอ
    เกิดแผลเปื่อยในช่องปาก ซึ่งมักจะเป็นแผลเดียวเกิดขึ้นที่บริเวณเหงือกหรือที่เพดานแข็ง มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำในช่วงแรกๆ จากนั้นน้ำจะแตกออก ทำให้เกิดสะเก็ดสีเหลืองปกคลุมอยู่บนพื้นสีแดง และเกิดแผลตื้นเมื่อลอกสะเก็ดออกจะกลายเป็นแผลตื้นสีแดง
  5. เริมที่อวัยวะเพศ
    เกิดตุ่มพองเล็กๆ แล้วแตกออก ทำให้เกิดการตกสะเก็ดและหายไปใน 2 -3 สัปดาห์ ในเพศหญิงมักเกิดบริเวณช่องคลอด ทวารหนักและสะโพก ส่วนในเพศชายจะเกิดบริเวณอวัยวะเพศ ถุงอัณฑะ บริเวณสะโพกใกล้ทวารหนัก ทำให้เกิดอาการเจ็บ แสบ คันบาดแผลจากตุ่มพอง พร้อมทั้งเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย

กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงติดเชื้อโรคเริม

  • ทุกๆคนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ herpes simplex โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะไม่ดี โดยเชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก ส่วน (HSV-2) จะติดต่อทางอวัยวะเพศ ทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณกว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่ปากคือวัยเด็กอายุ 4-5 ปีมักติดต่อทางการสัมผัสเช่นการใช้ของร่วมกัน การจูบ ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เชื้อนี้สามารถติดต่อจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยเฉพาะที่ตาโดยการสัมผัสด้วยมือดังนั้นต้องล้างมือให้สะอาด
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อเริมที่อวัยวะเพศมักเกิดในผู้ที่มีคู่ขาหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก oral sex ซึ่งเชื้อที่เป็นสาเหตุมักจะเป็น type 1 การป้องกันการติดเชื้อควรงดมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ถุงยางคุมกำเนิดขณะมีอาการติดเชื้อ
  • การเป็นเริมในทารกมักจะติดเชื้อในแม่ที่ติดเชื้อ HSV-2 และมีการคลอดก่อนกำเนิดหรือต้องใช้เครื่องมือในการคลอด
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นเช่น นักมวยปล้ำ นักรักบี้ นักมวย ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • มีการศึกษาว่าแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถแพร่ออกมาได้ ดังนั้นไม่มีหลักประกันว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจากโรคเริม
  • ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นทำให้เกิดเริมซ้ำ ได้แก่ ความวิตกกังวล ความเครียด เป็นไข้ ร่างกายอ่อนแอ ขาดสารอาหาร การเจ็บป่วยจากโรคอื่น ภูมิคุ้มกันต่ำ พบในกลุ่มคนที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น สเตียรอยด์ คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็ง และการผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่อเส้นประสาท

อาการของโรคเริม

อาการของการติดเชื้อทั้ง 2 ชนิด อาการของโรคจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ติดเชื้อ อายุ ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และชนิดของเชื้อไวรัสเริม จะเริ่มจากพบตุ่มพองใสๆ เล็กๆ ที่บริเวณผิวหนัง จากนั้น ตุ่มใสจะเริ่มพองและปวดแสบปวดร้อน เมื่อผ่านไป 1- 2 วัน ตุ่มใสจะมีน้ำอยู่ข้างในและเริ่มแตกออก หากมีการติดเชื้อก็จะเกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลขนาดใหญ่รักษาหายยากขึ้น

อาการร่วมนอกจากการมีตุ่มใส คือ อาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย เนื่องจากเป็นปฏิกิริยาการก่อโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส อาการจึงคล้ายโรคหวัด แต่ไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลเหมือนหวัด แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นครั้งแรกจะรู้สึกอาการรุนแรงและใช้เวลานานกว่าจะหายประมาณ 1-2  สัปดาห์ ส่วนผู้ที่เคยเป็นแล้วกลับมาเป็นใหม่ระยะเวลาการหายจะเร็วขึ้น เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันแล้ว

เมื่อใด ควรไปพบแพทย์

  • มีตุ่มพอง ลุกลามมาก
  • ไข้สูง ไข้ไม่ลดภายใน 1 – 3 วัน (ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ)
  • เริ่มมีอาการทางดวงตา เช่น เจ็บตา เคืองตา น้ำตาไหล
  • มีตุ่มน้ำเป็นหนอง ต้องรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา
  • มีไข้สูง ร่วมกับปวดศีรษะมาก แขน ขาอ่อนแรง ชัก และ/หรือโคม่า

การวินิจฉัยโรคเริม

  1. แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเริมได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และจากลักษณะตุ่มน้ำ 
  2. แต่ในบางรายซึ่งมีอาการไม่ชัดเจน แพทย์อาจตรวจหาเชื้อด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การขูดแผลนำเนื้อเยื่อไปย้อมสี การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) หรือดีเอ็นเอของเชื้อเริมจากแผลหรือสิ่งคัดหลั่ง การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี)
  3. มักตรวจพบตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มิลลิเมตร หลายตุ่มอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ หรือพบตุ่มตกสะเก็ดหรือแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอกในบริเวณผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง ริมฝีปาก หรือที่อวัยวะเพศ และอาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตและเจ็บ ผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย อาจตรวจพบแผลขึ้นพร้อมกันหลายแห่งในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กที่เป็นเริมในช่องปาก

การรักษาโรคเริม

ถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงชัดเจน แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบรรเทาอาการคัน ให้สารน้ำในรายที่มีภาวะขาดน้ำ) ร่วมไปกับการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ช่วยให้หายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แต่มักจะไม่ได้มีผลในการป้องกันการกำเริบซ้ำ เพราะยาต้านไวรัสไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในปมประสาทได้ 

ส่วนในรายที่มีอาการแสดงไม่ชัดเจน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัย ซึ่งวิธีการรักษาโรคนี้ที่สำคัญคือการให้ยาต้านไวรัส เพื่อตรวจรักษาอย่างละเอียดและป้องกันอันตรายจากภาวะแทรกซ้อน

การรักษาที่สำคัญที่สุดของโรคเริม คือ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน โดยเฉพาะในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น ดวงตา เพราะ การติดเชื้อเริม บริเวณใดก็ตาม ต้องดูแลตุ่มใสไม่ให้เกิดการอักเสบติดเชื้อซ้ำซ้อน เพราะถ้าหากติดเชื้อแทรกซ้อน จะทำให้เกิดการทำลายอวัยวะที่ติดเชื้อได้ เช่น ติดเชื้อที่ดวงตาสามารถทำให้ตาบอดหรือสูญเสียการมองเห็นได้ หากติดเชื้อลุกลามอวัยวะภายในก็สามารถสร้างความอันตรายได้เช่นกัน เช่น การติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น

กระจกตาอักเสบ (Keratitis)

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเริม

ส่วนใหญ่โรคเริมมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แล้วอาการอาจกำเริบขึ้นเป็นครั้งคราว มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งภาวะแทรกซ้อนมักจะเกิดจากการดูแลทำความสะอาดแผล และตุ่มใสจากเริม ได้ไม่ดี เช่น

  • ตุ่มหรือแผลกลายเป็นหนองพุพองจากการอักเสบซ้ำของการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ถ้าเริมขึ้นที่ตาอาจทำให้กระจกตาอักเสบ (Keratitis) ถึงกับทำให้สายตาพิการได้ หรือรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้เลยทีเดียว
  • ในเด็กที่เป็นเริมในช่องปากอาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มนมและน้ำไม่ได้
  • ผู้หญิงที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น
  • เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 อาจเข้าไปที่ประสาทใบหน้า (Facial nerve) ทำให้เส้นประสาทอักเสบ กลายเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกหรืออัมพาตเบลล์ได้
  • สำหรับในคุณแม่ตั้งครรภ์ การติดเชื้อเริมครั้งแรกส่งผลเสียร้ายแรงโดยสามารถทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตได้โดยเฉพาะในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์
  • อีกกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่เกิดได้น้อยมาก คือ ตัวผู้ป่วยมีภาวะภูมิต้านทานต่ำเป็นทุนเดิม อาจติดเชื้อที่บริเวณสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง ส่งผลให้สมองอักเสบ ปวดศีรษะมาก อ่อนแรง ชักและอาจโคม่าได้

การป้องกันโรคเริม

  • สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ ต้องหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพราะเชื้อเริมอาจมีในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ซึ่งเราสามารถสัมผัสเชื้อผ่านสิ่งของ เครื่องใช้ การใช้สิ่งของหรืออุปกรณ์ในที่สาธารณะ หากร่างกายอ่อนแอ และถ้าหากเรามีสุขภาพไม่แข็งแรง เมื่อรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายเชื้อก็จะสามารถก่อโรคและอันตรายได้
  • ดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • สวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคติดต่อ
  • หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิงบริการ และมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (Oral-genital contact)
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล น้ำลาย หรือสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีตุ่มตามผิวหนังหรือเยื่อเมือก หรือผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก (โดยปกติแล้วระยะแพร่เชื้อติดต่อให้ผู้อื่นได้ คือ ตั้งแต่เริ่มมีอาการนำจนกระทั่งแผลหายตกสะเก็ด)
  • หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น จานชาม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า มีดโกน เป็นต้น
  • ควรรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้งห้าหมู่ในทุก ๆ วัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียง และทำให้จิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส/หลีกเลี่ยงความเครียด
  • การรับประทานยาต้านไวรัสทุกวันสามารถช่วยลดการแพร่เชื้อได้ แต่เนื่องจากยามีผลข้างเคียง จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยา
  • ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเริม แต่กำลังมีการศึกษาคิดค้นกันอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นโรคที่พบได้บ่อย

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

ทำความรู้จักกับ โรคฝีดาษลิง

ผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • เริม https://www.mplusthailand.com/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ/เริม/
  • เริม โรคเริม ( Herpes ) คืออะไร สาเหตุ อาการ วิธีรักษา และการป้องกันโรคเริม เป็นอย่างไร
  • https://www.bangkoksafeclinic.com/th/โรคเริม/
  • เริม https://www.paolohospital.com/th-th/phrapradaeng/Article/Details/Uncategorized/เริม
  • โรคเริม (Herpes Simplex) https://www.doctorraksa.com/th-TH/blog/herpes-simplex.html

Filed Under: Uncategorized, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: Herpes, Herpes Simplex Virus, HSV-1, HSV-2, สาเหตุการเกิดโรคเริม, โรคเริม, ไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์

  • Go to page 1
  • Go to page 2
  • Go to page 3
  • Go to Next Page »

Primary Sidebar

Recent Posts

  • สารพัดประโยชน์ของถุงยางอนามัย
  • เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”
  • หนองในแท้ (Gonorrhoea) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ
  • ค่า CD4 คืออะไร?
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

Archives

  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • November 2021
  • September 2021
  • April 2021
  • November 2020
  • September 2020
  • May 2020
  • April 2020

Categories

  • PEP
  • PrEP
  • Uncategorized
  • ตรวจเอชไอวี
  • ถุงยางอนามัย
  • ยาต้านไวรัส
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • หนองในแท้
  • เอชไอวี HIV
  • เอดส์
  • แผลริมอ่อน
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • โรคฝีดาษลิง
  • โรคฝีมะม่วง
  • ไวรัสตับอักเสบบี

Copyright © 2023 · Genesis Sample on Genesis Framework · WordPress · Log in