• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

ThaiHiv365

Never leave someone behind.

  • หน้าแรก
  • จองคิวตรวจเอชไอวี
  • เอชไอวีและเอดส์
    • การรักษาเอชไอวี
    • การป้องกันเอชไอวี
    • การตรวจเอชไอวี
    • เอดส์ คืออะไร
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • โรคหนองในเทียม
    • โรคหนองใน ภัยร้ายใกล้ตัว รู้ก่อนรักษาได้
    • โรคหูดข้าวสุก
    • โรคหูดหงอนไก่
    • โรคเริม
    • แผลริมอ่อน
    • โรคซิฟิลิส
  • เพร็พ PrEP/ เป็ป PEP
    • เพร็พ PrEP
    • เป๊ป PEP
  • บทความ
  • ถาม-ตอบ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา

เอชไอวี HIV

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า

April 7, 2023 by thaihiv365 team

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า

ความเชื่อมโยงระหว่างเอชไอวีและภาวะซึมเศร้า นั้นมีหลายปัจจัย ประการแรก การวินิจฉัยโรคเอชไอวีสามารถกระตุ้นอารมณ์ต่างๆ รวมถึงความกลัว ตกใจ โศกเศร้า ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาของภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ อาการทางร่างกายของเชื้อเอชไอวี เช่น ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และการเปลี่ยนแปลงของภาพลักษณ์ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เช่นกัน

เอชไอวี คืออะไร ?

เอชไอวี (HIV) หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสชนิดที่ โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ตลอดเวลา หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา HIV อาจทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรงและไม่สามารถต่อต้านการติดเชื้อและโรคได้

ภาวะซึมเศร้า คืออะไร ?

ภาวะซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ มีปริมาณลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข มีแต่ความวิตกกังวล และหากปล่อยไว้ ผู้ป่วยอาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

ดูแลตนเองอย่างไรหากอยู่ในภาวะซึมเศร้า

ดูแลตนเองอย่างไรหากอยู่ในภาวะซึมเศร้า

การดูแลตนเองทางร่างกายและอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการทั้งเอชไอวีและภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจรวมถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงสารเสพติด

การได้การสนับสนุนจากคนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อน สามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์ มีความเข้าใจและไม่ตัดสินผู้อื่นสามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยวและให้พื้นที่ที่ปลอดภัยในการแบ่งปันความคิดและอารมณ์

รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญของการรักษาภาวะซึมเศร้า คือ ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ซึ่งสามารถให้การรักษาสำหรับภาวะซึมเศร้าได้อย่างดี ซึ่งอาจรวมถึงการบำบัดด้วยการพูดคุย (เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด) การใช้ยา หรือทั้งสองอย่างรวมกัน

วิธีการรักษาภาวะซึมเศร้า

วิธีการรักษาภาวะซึมเศร้า

การรักษาด้วยยา

การใช้ยาแก้เศร้า เนื่องจากโรคซึมเศร้าสาเหตุที่พบเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองดังที่ได้กล่าว แล้วข้างต้น ดังนั้นการให้ยาแก้เศร้าเพื่อไปปรับสมดุลสารเคมีในสมองจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างมาก

การรักษาทางจิตใจ

การรักษาทางจิตใจมีวิธีอยู่หลายรูปแบบ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นการ พูดคุยกับจิตแพทย์ อันจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง สาเหตุที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ซึมเศร้า เข้าใจปัญหาและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

  • เอชไอวี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน
  • แผลริมอ่อน | Chancroid

ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี อาจพบกับปัญหาสุขภาพจิตเช่นภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งเป็นสภาวะที่สามารถมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นการดูแลสุขภาพทั่วไปและสุขภาพทางจิตรใจของผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถจัดการทั้งเอชไอวีและภาวะซึมเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Filed Under: เอชไอวี HIV

เอชไอวี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

April 4, 2023 by 365team

เอชไอวี สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

เอชไอวี หรือ Human Immunodeficiency Virus (HIV) เป็นไวรัสที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงโดยการโจมตีเซลล์ CD4 ซึ่งมีหน้าที่ในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ เอชไอวีสามารถพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้ หากไม่ได้รับการรักษา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 38 ล้านคนในปี 2562 โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1.7 ล้านคนในปีนั้น ในบทความนี้ เราจะพูดถึงเอชไอวี สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน

เอชไอวี คืออะไร ?

เอชไอวี (HIV) เป็นไวรัสที่โจมตีระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ได้ยาก สามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมบุตร เอชไอวีสามารถพัฒนาไปสู่โรคเอดส์ได้หากไม่ได้รับการรักษา

เอชไอวีสาเหตุเกิดจากอะไร

เอชไอวีสาเหตุเกิดจากอะไร

เอชไอวี (HIV) เกิดจากไวรัสที่เรียกว่า Human Immunodeficiency Virus ไวรัสโจมตีระบบภูมิคุ้มกันโดยเป้าหมายอยู่ที่เซลล์ CD4 ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ เมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจะเริ่มเพิ่มจำนวนและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การลดจำนวนเซลล์ CD4 ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

เอชไอวีติดต่อกันได้อย่างไร ?

เชื้อเอชไอวี สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร หรือการให้นมบุตร การแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์เป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก

เอชไอวีอาการเป็นอย่างไร ?

อาการของเอชไอวี อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการเลย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดภายในสองสามสัปดาห์แรกของการติดเชื้อ อาการเหล่านี้อาจรวมถึงมีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองบวม และผื่น อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคอื่นๆ ได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีความเสี่ยงควรรีบตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยเร็ว

การวินิจฉัยเอชไอวี

เอชไอวี (HIV) สามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี้ต่อไวรัส การตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นสิ่งสำคัญ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้แสดงอาการ สิ่งสำคัญคือ หากคุณมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ควรเข้ารับการตรวจอยู่เป็นประจำ

การป้องกันเอช ไอ วี

การป้องกันเอชไอวี

มีหลายวิธีในการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวี ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยใช้ถุงยางอนามัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ ยังมีการป้องกันเอชไอวีโดยการรับประทานยาก่อนสัมผัสเชื้อ (PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และ การรับประทานยาหลังสัมผัสเชื้อ (PEP) เหมาะสำหรับผู้ที่พึ่งผ่านความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมาใช้ในกรณีฉุกเฉินทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ

การรักษาเอชไอวี

แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มียารักษาเอชไอวี แต่มียาที่สามารถช่วยชะลอการลุกลามของไวรัสและป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้ ยาเหล่านี้เรียกว่า ยาต้านไวรัส (ART) และสามารถช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย เพิ่มจำนวนเซลล์ CD4 และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องรับประทานยาเหล่านี้ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และต้องรับประทานไปตลอดชีวิต จนกว่าจะมีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้ต่อไปในอนาคต

อ่านบทความเพิ่มเติมที่นี่

  • แผลริมอ่อน | Chancroid
  • ไวรัสตับอักเสบบี สาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ

แม้ว่าในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีรักษาเอชไอวีให้หายขาด แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส สามารถช่วยชะลอการลุกลามของไวรัสและป้องกันการเกิดโรคเอดส์ได้ สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้ารับการรักษาอยู่ประจำ รับประทานยาให้ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวีก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนปกติทั่วไป

Filed Under: เอชไอวี HIV Tagged With: AIDS, HIV, การติดเชื้อ, การป้องกัน, การรักษา, การวินิจฉัย, การแพร่เชื้อ, ระบบภูมิคุ้มกัน, เซลล์ CD4, ไวรัส

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

January 18, 2023 by thaihiv365 team

ถ้าพูดถึง HIV กับ AIDS คนหลายคน ก็เกิดมีความกลัวอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังมีชุดความรู้ผิดๆ เกี่ยวกับเชื้อนี้อยู่มาก เนื่องจากยังไม่ค่อยมีสื่อเรื่องเพศศึกษา และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในสถานศึกษาอย่างจริงจัง พอได้ยินว่า “เลือดบวก” ก็จะตีความว่าเขาเป็นโรคเอดส์ทันที ในบทความนี้จะแยกให้เห็นว่า HIV กับ AIDS ไม่ได้เหมือนกันอย่างที่คิดครับ

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

HIV กับ AIDS แตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างของ HIV กับ AIDS นั่นง่ายมาก เพราะ HIV คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค AIDS หมายความว่า AIDS เป็นเพียงอาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV และไม่ได้รับการรักษาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ในตอนท้าย สรุปอีกครั้งว่า HIV เป็นเชื้อไวรัส แต่ AIDS เป็นเพียงอาการของคนที่ไม่ได้รักษานั่นเอง ซึ่งกว่าจะกลายเป็นโรคแทรกซ้อน ไวรัสเอชไอวีจะต้องเข้าสู่ร่างกายมาสักระยะและผู้นั้นไม่ได้ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ตัวไวรัสจึงแพร่กระจายตัวไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พังลงได้ในที่สุด

HIV ติดต่อได้ผ่าน

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และ
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (พบได้น้อย)
HIV ติดต่อได้ผ่าน

อาการของ HIV กับ AIDS

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า AIDS ที่เป็นอาการของผู้ติดเชื้อ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ในระยะแรกที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ คนๆ นั้นจะแทบไม่มีอาการใดปรากฏให้เห็นเลย หรือถ้ามีก็น้อยมากจนไม่ทันสังเกต เพราะอาจคิดว่าป่วยเป็นโรคธรรมดาทั่วไป โดยเราจะแบ่งระยะอาการออกเป็น 3 ระยะดังนี้

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน : ระยะนี้จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีมาแล้ว ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด เช่น
    • ต่อมน้ำเหลืองโต
    • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
    • ปวดเนื้อเมื่อยตัว ไม่มีเรี่ยวแรง
    • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องเสีย
    • เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ
  2. ระยะเริ่มแสดงอาการ : ระยะนี้ จะค่อยๆ เริ่มมีอาการ โดยจะใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10 ปีขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อ แต่ก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าเข้าสู่ภาวะเอดส์อย่างเต็มขั้น ซึ่งอาการจะค่อนข้างคล้ายคลึงในช่วงแรกที่ติดเชื้อ แต่อาจมีโรคอย่างอื่นด้วย เช่น
    • โรคงูสวัด
    • เกิดเชื้อราในช่องปาก
    • มีแผลเริมที่อวัยวะเพศ
    • พบผื่นคันตามร่างกาย คล้ายคนเป็นภูมิแพ้
  3. ระยะเอดส์ : ระยะนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิต้านทาน ในระดับต่ำมากๆ หรือผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่ได้รับการรักษา เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และไม่มีภูมิต้านทานมาช่วยได้ ส่งผลทำให้มีโรคฉวยโอกาสเข้ามาได้บ่อยๆ เช่น
    • วัณโรค
    • โรคติดเชื้อในปอด
    • โรคติดเชื้อในสมอง
    • โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

มาป้องกันตัวเองจาก HIV กับ AIDS กันเถอะ!

อยากห่างไกลจากโรคเอดส์ ทำได้ง่ายๆ เลยเรื่องเดียวคือ ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเอง เพราะเมื่อเราเซฟตัวเองดี คนอื่นรอบข้างก็ไม่มีความเสี่ยงไปด้วย

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ รักเดียว ใจเดียว
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หมั่นตรวจเอชไอวีเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

HIV กับ AIDS ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

หากเราเรียนรู้และยอมรับเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น จะเห็นได้ว่า การอยู่ร่วมกับผู้มีเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะเขาเหล่านี้ก็คือมนุษย์ปกติเหมือนกับเรา เพียงแต่เจ็บป่วยด้วยโรคประเภทหนึ่งเท่านั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเรา เรียน ทำงาน หรือแม้แต่มีครอบครัว มีลูกได้เหมือนกัน ในความเป็นจริง คนที่ติดเชื้อและทำการรักษาเอชไอวีด้วยยาต้าน จะถูกกลไกของยาคอยควบคุมเชื้อไม่ให้แพร่กระจาย ไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และเขาจะได้รับการติดตามผลการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะยานี้จำเป็นต้องทานไปตลอดชีวิต จนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนามาให้กลุ่มผู้ติดเชื้อได้รักษาเอชไอวีให้หายขาดไปได้จริงจากร่างกายในอนาคตครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม

  • โรคฝีมะม่วง ภัยร้ายใกล้ตัว
  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”

Filed Under: เอชไอวี HIV Tagged With: AIDS, HIV, โรคเอดส์, ไวรัสเอชไอวี

ตรวจหาเชื้อเอชไอวีไม่เจอ ควรตรวจซ้ำอีกรอบหรือไม่?

October 19, 2022 by thaihiv365 team

ตรวจหาเชื้อเอชไอวีไม่เจอ

การตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี  ถ้าผลตรวจออกมาเป็นลบ หรือไม่เจอเชื้อ ก็เป็นการได้เริ่มต้นป้องกันตัวเองอย่างจริงจัง หรือถ้าตรวจเจอเชื้อ ก็ถือว่าเป็นการรู้ตัวก่อนที่จะป่วยขึ้นมา เพื่อได้เข้าสู่กระบวนการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ป่วยหรือ เสียชีวิตจากโรคเอดส์ อีกทั้งสามารถป้องกันคนที่เรารักและคนอื่นๆ ไม่ให้ติดเชื้อจากเราได้

การตรวจหาเชื้อเอชไอวี สามารถแบ่ง 2 ลักษณะ คือ ตรวจคัดกรอง และตรวจยืนยัน

1. การตรวจคัดกรอง คือ การตรวจเพื่อกรองบุคคลผู้มีความเสี่ยงจากการได้รับเชื้อเอชไอวี ว่ามีโอกาสได้รับเชื้อหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจโดย Rapid Test เป็นชุดตรวจที่ตรวจง่าย รู้ผลรวดเร็วภายในไม่กี่นาที ซึ่งมีความแม่นยำสูง 

หากผลตรวจพบว่า มีโอกาสพบเชื้อเอชไอวี ผู้ตรวจควรดำเนินการตรวจยืนยันที่โรงพยาบาล หรือคลินิกได้ทันที การตรวจแบบคัดกรองนี้ไม่สามารถยืนยัน หรือสรุปได้ว่าคุณเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี

2. การตรวจยืนยัน คือ การตรวจยืนยัน อีกครั้งหลังจาก คุณทำการตรวจคัดกรองมาแล้ว และพบว่ามีโอกาส ได้รับการติดเชื้อเอชไอวี 

ทำไมถึงต้องตรวจคัดกรองก่อน เพราะปัจจุบัน การตรวจยืนยัน ยังอาจใช้เวลานาน กว่าจะทราบผล และมีผู้ป่วยมารับบริการจำนวนมาก ดังนั้นหากมีการตรวจคัดกรองมาก่อน ก็จะสามารถช่วยคัดกรองผู้ป่วย ที่มีโอกาสพบเชื้อ กับผู้ที่ไม่มีโอกาสพบเชื้อ ให้สามารถเข้าสู่ระบบการตรวจรักษาได้เร็วขึ้น และลดภาระงาน ในการตรวจของเจ้าหน้าที่ได้มากขึ้น

ตรวจเอชไอวีไม่เจอ เกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง

การจะแพร่เชื้อได้นั้น จะต้องมีปริมาณของเชื้อไวรัสมากพอสมควร โดยเกณฑ์ที่ใช้เทียบเคียง คือ ต้องมีปริมาณไวรัสในเลือดตั้งแต่ 200 – 1,000 copies/ซีซีของเลือด จึงจะสามารถแพร่เชื้อได้ และชุดตรวจเอชไอวีในปัจจุบัน สามารถตรวจได้ต่ำสุดตั้งแต่ 20-50 copies/ซีซีของเลือด

การตรวจเอชไอวีไม่เจอนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ จาก 2 กรณี ได้แก่

  • กรณีที่ 1 คือ ระยะเวลาในการตรวจนั้น เร็วเกินไป ผู้ที่ได้รับความเสี่ยงมา บางคนอาจจะใจร้อน รีบตรวจเกินไปร่างกายยังไม่มีการสร้างแอนติบอดีขึ้นมา ทำให้หากตรวจในระยะเวลาที่เร็วเกินไปอาจจะตรวจไม่เจอเอดส์ นั่นเอง 

    ปัจจุบันวิธีการตรวจจะพัฒนาขึ้นมาก และสามารถตรวจได้เร็วสุดภายในหนึ่งสัปดาห์ ด้วยวิธีการตรวจแบบ NAT แต่หากตรวจด้วยวิธีอื่น ระยะเวลาที่ดีที่สุดที่สมควรตรวจ คือ 30 วัน และควรตรวจซ้ำอีกทุก 30 วัน เป็นเวลา 3 เดือน หรือตรวจอีกครั้งหลัง 3 เดือน ก็สามารถทำได้ แต่หากตรวจพบว่ามีโอกาสพบเชื้อตั้งแต่ครั้งแรก ให้รีบตรวจยืนยันที่โรงพยาบาล หรือคลินิก ทันที หากไม่พบเชื้อถึงจะสามารถปิดเคสได้

  • กรณีที่ 2 คือ เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่แล้ว โดยรับประทานยาต้านไวรัสสอย่างต่อเนื่อง ในทุกๆ วัน ติดต่อกันนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีความเป็นไปได้ที่จะมีปริมาณไวรัสเอชไอวีอยู่ในเลือดต่ำกว่า 50 copies ต่อซีซีของเลือด ชุดทดสอบจึงตรวจไม่เจอ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า เชื้อหมดจากร่างกายแล้ว เพียงแต่ทานยาต้านไวรัสต่อเนื่อง แต่หากหยุดทานยา เชื้อก็จะเพิ่มขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
ตรวจอีกครั้งหลัง 3 เดือน

ตรวจหาเชื้อ HIV มีโอกาสได้ผลผิดพลาดไหม?

มีโอกาสผิดพลาด คือ ได้รับผลการทดสอบเอชไอวีผิดพลาด จากการทดสอบที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดตามไปด้วย เพราะการทดสอบมีระยะเวลา 3-6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ใครๆ ก็สามารถติดเชื้อเอชไอวีได้ แต่ไวรัสจะไม่ปรากฏในการทดสอบแอนติบอดี ซึ่งหมายความว่าอาจมีคนติดเชื้อเอชไอวีในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จะไม่ปรากฏในการทดสอบแอนติบอดีจนกว่าจะผ่านไปนาน 6 เดือน

ตรวจเอชไอวีไม่เจอ เท่ากับไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อแล้วหรือเปล่า?

  • ระยะเวลาในการตรวจนั้น เร็วเกินไป หลังไปเสี่ยงสัมผัสเชื้อมา  แนะนำให้ตรวจอีกรอบ เพื่อความมั่นใจ ในระยะที่น่าเชื่อถือ หรือระยะการตรวจเชื้อ หากไม่พบเชื้อถึงจะสรุปได้ว่าไม่ได้เป็นผู้ติดเชื้อ
  • การกินยาต้านไวรัสที่ทานมาอย่างยาวนาน ออกฤทธิ์ไปกดเชื้อไว้ ไม่ให้เพิ่มจำนวนขึ้น ไม่ให้เชื้อทำอันตรายต่อร่างกายไปมากกว่านี้ ซึ่งการตรวจอาจจะไม่เจอเชื้อไวรัส แต่เชื้อไวรัสเอชไอวียังคงอยู่ในร่างกายไม่หายขาด สรุปก็คือเป็นผู้ติดเชื้ออยู่นั่นเอง

U = U ตรวจไม่เจอเชื้อเอชไอวี = ไม่แพร่เชื้อ จริงหรือไม่

U=U หรือ Undetectable = Untransmittable คือ ไม่เจอ = ไม่แพร่ ดังนั้นหากทำการตรวจไม่เจอเชื้อเอชไอวี ก็จะไม่สามารถถ่ายทอด หรือแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้

หากตรวจเลือดแล้ว ไม่เจอว่ามีการติดเชื้อ และไม่ทำตัวเองให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อขึ้นอีกได้ การตรวจไม่เจอว่าติดเชื้อ ก็คือไม่แพร่เชื้อเช่นกัน แต่ถ้าหากมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ เช่น การไม่สวมถุงยางอนามัยเวลามีเพศสัมพันธ์ หรือการใช้ PrEP หลังจากเสี่ยงสัมผัสเชื้อ ก็ทำให้เป็นผู้ที่ไม่ติดเชื้อมีโอกาสติดเชื้อได้อยู่

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

ควรตรวจ HIV เมื่อไร?

เอชไอวี(HIV) ป้องกันง่ายกว่ารักษา

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • ตรวจเอดส์ ไม่เจอ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? http://www.thaihivhometest.com/ตรวจเอดส์-ไม่เจอ/
  • ไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (Undetectable = Untransmissable, U = U) http://www.thaiaidssociety.org/index.php?option=com_content&view=article&id=179&Itemid=90

Filed Under: ตรวจเอชไอวี, เอชไอวี HIV Tagged With: HIV, การตรวจหาเชื้อเอชไอวี, ตรวจเอชไอวี, ตรวจเอชไอวีไม่เจอ, เอชไอวี, เอดส์, โรคเอดส์

ทำความรู้จักกับยาต้านไวรัสเอชไอวี (ARV)

October 10, 2022 by thaihiv365 team

ทำความรู้จักกับยาต้านไวรัสเอชไอวี (ARV)

เอชไอวี คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป หากมีการติดเชื้อเอชไอวีแล้วนั้นเชื้อจะอยู่ในร่างกายผู้ติดเชื้อตลอดไป 

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดได้ แต่มียาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งถ้าผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาได้เร็ว กินยาอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ สามารถทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพที่แข็งแรงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น และช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อเอชไอวีนี้ไปยังผู้อื่นได้ด้วย

ยาต้านไวรัสเอชไอวีคืออะไร?

ยาต้านไวรัสเอชไอวีเป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งหรือต้านการแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวี ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อได้สูงสุดถึง 99% หากมีการใช้อย่างถูกวิธี

Exposure prophylaxis เป็นยาที่ทานเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี เท่านั้น ไม่ได้รวมถึงโรคอื่น โดยก่อนการรับยาต้องมีการประเมินความเสี่ยงจากประวัติของคนไข้ว่าตรงตามเงื่อนไขการรับยาหรือไม่ ประกอบกับการตรวจเลือดตามมาตรฐานสากล(คนไข้ที่จะรับยาจะต้องมีผลเอชไอวี เป็นลบ) และยาในกลุ่มนี้ต้องพิจารณาจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น

ซึ่งจะใช้ช่วงก่อนหรือหลังจากการสัมผัสเชื้อเอชไอวี สำหรับยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อนั้น เรียกว่ายา PrEP ซึ่งย่อมาจาก Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) และยาที่รับประทานเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากสัมผัสเชื้อนั้น เรียกว่ายา PEP โดยย่อมาจาก Post -Exposure Prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน)

ยาต้านหรือยารักษาเอชไอวี มีกี่แบบ

ปัจจุบันยาต้าน ยารักษา HIV หรือที่เรียกว่ายา Antiretroviral (ARV) นั้นที่ใช้กันนั้น ดังนี้

  1. Nucleoside reverse transcriptase inhibitors (RTIs)  มีกลไกลการยับยั้งการทำงานของ Reverse transcriptase ซึ่งเป็นenzymeที่ไว้เปลี่ยน RNA ของเชื้อเป็น DNA เพื่อใช้ในการเข้าสู่ host cell ซึ่งส่งผลทำให้การเชื่อมต่อสารพันธุกรรมของเชื้อหยุดลง เชื้อไวรัสจึงไม่สามารถเพิ่มจำนวนต่อไปได้  ยาในกลุ่มนี้เช่น AZT (Retrovir), DDI (Videx), DDC (Hivid), 3TC (Epivir), และ D4T (Zerit) enofovir disoproxil fumarate (TDF), Emtricitabine (FTC) เป็นต้น
  2. Protease inhibitors (PIs) มีกลไกรบกวนการทำงานของ Protease ซึ่งทำให้เชื้อไม่สามารถรวมโปรตีนเพื่อสร้างเซลล์ใหม่ได้ เช่น Indinavir (Crixivan), Nelfinavir (Viracept), Ritonavir (Norvir), Saquinavir, Lopinavir+Ritonavir (LPV/r)
  3. Non-nucleoside reverse transcriptase Inhibitor (NNRTIs) มีกลไกของยากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของ Reverse transcriptase เช่นเดียวกับยากลุ่ม NRTIs มียาที่ใช้อยู่ เช่น Delavirdine (Rescriptor), Efavirenz (Sustiva), Nevirapine (Viramune) Efavirenz (EFV), Rilpivirine (RVP)
  4. Integrase inhibitor strand transfer inhibitor (INSTs) มีกลไลยับยั้งกระบวนการ integration โดยในยากลุ่มนี้จะยับยั้งการทำงานของ integrase ของเชื้อที่ใช้ในการเชื่อมสาย DNA ของตัวเชื้อเข้ากับ host cell ยาในกลุ่มนี้ เช่น Dolutegravir (DTG), Bictegravir (BIC)

ใครบ้างควรรับยาต้านไวรัสเอชไอวี

เมื่อผู้ป่วยมีอาการของโรคเอดส์ เซลล์ CD4 ลดลง มีปริมาณเชื้อมาก (viral load) การรักษาผู้ป่วยจะแยกเป็นกรณี ดังนี้

  • การรักษาหลังสัมผัสโรคติดเชื้อเอชไอวี( Post-Exposure Prophylaxis) ผู้ที่ได้รับสัมผัสเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง การให้ยาแก่คนที่สัมผัสโรคสามารถป้องกันการติดเชื้อ HIV ได้ โดยผู้ที่สัมผัสโรคต้องปรึกษากับแพทย์ว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ให้ยา และจะให้ยานานแค่ไหน ผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง
  • Primary Infection หมายถึงภาวะตั้งแต่เริ่มได้รับเชื้อจนกระทั้งภูมิต่อเชื้อHIV เพิ่มจนสามารถตรวจพบได้ ระยะนี้มีเวลาประมาณ 12-20 สัปดาห์ หากพบผู้ป่วยระยะนี้ต้องรีบให้การรักษาโดยเร็ว แพทย์ส่วนใหญ่แนะนำว่าให้รับประทานตลอดชีวิต แต่บางท่านแนะนำให้รับประทานยา 24 เดือนแล้วลองหยุดยา
  • ผู้ที่ติดเชื้อHIV โดยที่ไม่มีอาการ (Asymptomatic Patients with Established Infection ) การรักษาผู้ที่ติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ก็มีคำแนะนำในการรักษาตามตารางข้างล่าง

ยาต้านไวรัสเอชไอวี รับได้ที่ไหน

ยาต้านไวรัส HIV ผู้ป่วยสามารถเข้ารับบริการได้ตามสถานบริการของรัฐ เอกชน หรือคลินิกเฉพาะทางที่มีแพทย์ประจำ เนื่องจากการรับยาต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของแพทย์ และจำเป็นจะต้องมีการตรวจเลือดทุกครั้งที่รับยา เพื่อความปลอดภัย และลดผลข้างเคียงที่อาจจะตามมาได้หลังจากการรับยา

ยาร่วมกัน 3 ชนิด HAART

ยาต้านไวรัสเอชไอวี ต้องทานตอนไหน และการปฏิบัติตัวหลังทานยาต้าน

การทานยาต้านแต่ละตัวนั้นมีความแตกต่างกันตามกลุ่มของยา โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำให้ให้คำปรึกษาในการรับยาพิจารณาจากผลการตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการว่าผู้ป่วยเหมาะสมกับยาสูตรใดชนิดใด 

ซึ่งต้องใช้ตัวยาร่วมกัน 3 ชนิด หรือเรียกว่า Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART) จะช่วยให้ผลการรักษาได้ดี ลดการเกิดเชื้อดื้อยา ลดอัตราการป่วยจากภาวะแทรกซ้อน และอัตราการเสียชีวิตลดลงได้อย่างมาก

 แม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถช่วยให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขมากขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยควรให้ความสำคัญอย่างมากกับการรับประทานยา ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

ยาต้านไวรัสเอชไอวี กับผลข้างเคียง มีดังนี้

  • อาการข้างเคียงในระยะสั้นและไม่รุนแรง พบได้และอาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น ภายในเวลาประมาณ 2 – 3 เดือน เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ท้องอืด นอนไม่หลับ ฝันร้าย มีผื่นขึ้นเล็กน้อย
  • อาการข้างเคียงในระยะสั้นและรุนแรง เช่น ภาวะซีด ตับหรือตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ชาปลายมือปลายเท้า นิ่วในไต ซึ่งอาจพบได้ทุกช่วงของการกินยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าไม่รีบแก้ไข ดังนั้น ต้องติดตามอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด   มารับการตรวจตามนัดสม่ำเสมอ ถ้าพบอาการผิดปกติ เช่น  ท้องอืด  อาเจียน   อ่อนเพลีย   หมดแรง (อาการของภาวะกรดในเลือด)   ต้องมาพบแพทย์ก่อนวันนัด
  • อาการข้างเคียงในระยะยาว มักพบหลังจากกินยาเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป บางรายพบได้ในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี อาการข้างเคียงในระยะยาว เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย การกระจายและสะสมของไขมันผิดปกติและผิดที่ มีไขมันพอกที่ต้นคอ ลำตัวอ้วน แขนขาลีบ แก้มตอบ

หากรับประทานยาต้านไวรัสเป็นเวลา 6 เดือน ขึ้นไปแพทย์แนะนำให้ตรวจค่าการทำงานของตับและการทำงานของไตเนื่องจากยาต้านไวรัสส่งผลต่อการทำงานของตับและไต

ต้องทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ไปตลอดไหม

ยาต้านไวรัสเพื่อให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาว ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป แม้ว่าผลการตรวจเลือดของผู้ป่วยบางราย หลังจากทานยาต้านไวรัสเป็นเวลานาน จะพบเชื้อน้อยลงจนแทบไม่พบเชื้อ แพทย์ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าหายขาดแล้ว ผู้ป่วยต้องทานยาต่อไปตลอดชีวิต  และตัวผู้ป่วยเองก็ต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดี ไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงใดๆ ที่อาจมีผลต่อการรักษา ทานยาสม่ำเสมอในทุกวัน

การกินยาต้านไวรัสเอชไอวี ไม่ตรงเวลา

ผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี กับการทานยาต้านให้ตรงเวลานั้นมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยรักษาระดับยาจะให้คงที่ในกระแสเลือด ช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสไม่เพิ่มจำนวน ลดอาการผลข้างเคียง และลดโอกาสการดื้อยาที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ดังนั้นหากทานยาต้านไม่ตรงเวลา หรือขาดยา ก็อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล เชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะเพิ่มปริมาณขึ้น ผู้ป่วยอาจจะต้องเปลี่ยนยาไปใช้ในสูตรที่แรงการสูตรเดิมรวมทั้งอาจเกิดผลข้างเคียงที่มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หรือ ติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

เอชไอวี(HIV) ป้องกันง่ายกว่ารักษา

ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสเอชไอวี

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • ยาต้านไวรัส HIV แบบป้องกันและฉุกเฉิน คืออะไร รับได้ที่ไหน https://www.bangkoksafeclinic.com/th/arv/
  • ยาต้านไวรัสเอดส์ http://www.samrong-hosp.com/คัมภีร์การใช้ยา/ยาต้านไวรัสเอดส์

Filed Under: ยาต้านไวรัส, เอชไอวี HIV Tagged With: Antiretroviral, ARV, HIV, ยาต้านไวรัสเอชไอวี, เอชไอวี

การรักษาตุ่ม PPE ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี

September 16, 2022 by thaihiv365 team

การรักษาตุ่ม PPE

โรคตุ่มคันในคนที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี จะมีอาการแสดงหลายระดับขึ้นอยู่กับระยะติดใหม่ๆ ถ้ามีการดูแลร่างกายดี ภูมิคุ้มกันยังดีอยู่ ก็จะไม่มีอาการอะไรเหมือนคนปกติทั่วไป ถ้าไม่มีการตรวจเลือดก็จะไม่ทราบว่าผู้นั้นมีเชื้อเอชไอวี อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากไม่กินยาต้านไวรัส หรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์แนะนำ ภูมิคุ้มกันก็จะลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคฉวยโอกาสต่างๆทำให้เจ็บป่วยได้ 

PPE คืออะไร?

PPE ย่อมาจาก Pruritic Papular Eruption in HIV ซึ่ง PPE นั้น มักพบในผู้ป่วยเอชไอวี ที่มีอาการมากแล้ว โดยรอยโรค PPE อาจเป็นตัวสะท้อนบอกสถานะของภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยได้ คือการมี PPE อาจหมายถึงภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยต่ำแล้ว

PPE เกิดจากอะไร?

ยังไม่ทราบกลไกการเกิดและสาเหตุ ของการเกิด ตุ่ม PPE อย่างชัดเจน เชื่อว่าเป็นปฏิกิริยาการแพ้ของผิวหนังของผู้ป่วยต่อแมลงกัดต่อยเช่นมด ยุง ดังจะเห็นได้ว่า PPE พบได้มากกว่าที่บริเวณนอกร่มผ้า

PPE ติดต่อมั้ย 

PPE ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่ เชื้อเอชไอวี เป็นโรคติดต่อ ควรระวัง โดยการไม่สัมผัสเลือดหนองจากแผล เพราะ เชื้อ เอชไอวีสามารถติดต่อทางสารคัดหลั่งต่างๆจากร่างกาย เข้าทางผิวหนังที่มีแผลของเราได้

ลักษณะตุ่ม PPE

  • ลักษณะเป็นตุ่มคัน คล้ายยุงแมลงกัด มีรอยแดงอักเสบ รอยดำหลังการอักเสบ อาจมีหนองจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนที่มาจากการเกา
  • พบได้ทั้งในและนอกร่มผ้า โดยพบที่บริเวณนอกร่มผ้าได้บ่อยกว่า
  • พบในระยะที่ภูมิคุ้มกันต่ำ คือ อาการของโรคเอดส์ เป็นค่อนข้างมากแล้ว
  • มีอาการเรื้อรัง
  • มีอาการคันมากจึงพบมีรอยเกาและมีรอยดำ รอยแผลเป็นหลังเกาอยู่
  • มักเป็นที่แขนขา มากกว่าที่ใบหน้าค่ะ

อาการของการเกิดตุ่ม PPE

หากตุ่มที่เกิดขึ้นนั้น ยุบลงภายใน 5 วัน ก็ไม่น่าใช่ตุ่ม PPE อีกทั้ง หากไม่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อก็ไม่น่าจะเป็นผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี เพราะว่าตุ่ม PPE นั้น มักพบในผู้ป่วยที่เป็นติดเชื้อแล้ว และอาจจะมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด เหงื่อออกตอนกลางคืน ท้องเสียเรื้อรัง เป็นต้น 

กินยาแก้แพ้ Antihistamine

การรักษาตุ่ม PPE

โดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการ คือ ห้ามเกา ดูแลผิวไม่ให้แห้ง กินยาแก้แพ้แก้คัน ทายาแก้คัน แต่การทายา จริงๆแล้วก็ช่วยให้หายคันชั่วคราว ถ้าจะรักษาให้ตุ่มหายและไม่คัน ควรเพิ่มภูมิคุ้มกันจะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ เพราะตุ่มนี้มาจากเมื่อภูมิคุ้มกันลดลงร่างกายติดเชื้อต่างๆแทรกซ้อนได้ง่าย จึงติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังได้ ทำให้เกิดเป็นตุ่มคัน และอาจมีหนอง

  • ห้ามเกา –  เพราะยิ่งเกาจะยิ่งเป็นมากขึ้น และทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนด้วย
  • ดูแลผิวไม่ให้ผิวแห้ง – เพื่อลดอาการคัน ทาโลชั่นให้ความชุ่มชื้นกับผิวเป็นประจำ
  • กินยาแก้แพ้ – antihistamine เพื่อลดอาการคัน ถ้าเป็นชนิดง่วงเล็กน้อยเช่น Hydroxyzine ก็จะช่วยลดอาการคันได้ดีขึ้น
  • ทายาสเตียรอยด์ – ที่มีความเข้มข้นสูง เช่น clobetasol  ลดการคันและอักเสบที่ตุ่ม ยาสเตียรอยความเข้มข้นสูงไม่ควรใช้นานเกินสองถึงสามสัปดาห์ เพราะมีผลข้างเคียงทำให้ผิวบาง ช่วงที่ไม่คันมากตุ่มไม่หนาควรใช้ความเข้มข้นปานกลาง TA cream แทน

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

ทำความรู้จักกับ โรคฝีดาษลิง

โรคหูด สาเหตุ, อาการ, การรักษา

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • ตุ่ม PPE คือ? https://apcocapsules.com/เรื่องของตุ่ม-ppe-c20159155092406
  • ตุ่ม PPE คืออะไร http://www.skinanswer.org/โรคผิวหนัง/ตุ่ม-ppe-คืออะไร/

Filed Under: เอชไอวี HIV Tagged With: PPE, Pruritic Papular Eruption, พีพีอี, ลักษณะตุ่ม PPE, เอชไอวี, เอดส์

  • Go to page 1
  • Go to page 2
  • Go to page 3
  • Go to page 4
  • Go to Next Page »

Primary Sidebar

Recent Posts

  • สารพัดประโยชน์ของถุงยางอนามัย
  • เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”
  • หนองในแท้ (Gonorrhoea) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ
  • ค่า CD4 คืออะไร?
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

Archives

  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • November 2021
  • September 2021
  • April 2021
  • November 2020
  • September 2020
  • May 2020
  • April 2020

Categories

  • PEP
  • PrEP
  • Uncategorized
  • ตรวจเอชไอวี
  • ถุงยางอนามัย
  • ยาต้านไวรัส
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • หนองในแท้
  • เอชไอวี HIV
  • เอดส์
  • แผลริมอ่อน
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • โรคฝีดาษลิง
  • โรคฝีมะม่วง
  • ไวรัสตับอักเสบบี

Copyright © 2023 · Genesis Sample on Genesis Framework · WordPress · Log in