ในปัจจุบัน ถุงยางอนามัยมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิด ถุงยางอนามัยมีให้เลือกใช้ ทั้งแบบสำหรับผู้ชายและแบบสำหรับผู้หญิง แต่ที่นิยมแพร่หลายและนิยมใช้มากในปัจจุบันจะเป็นถุงยางอนามัยสำหรับผู้ชาย
ประโยชน์ของถุงยางอนามัย
คุมกำเนิด
ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันไม่ให้อสุจิเล็ดลอดเข้าไปในบริเวณช่องคลอดได้ ซึ่งการสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์จะช่วยให้มีโอกาสคุมกำเนิดได้มากขึ้น หากสวมอย่างถูกวิธี
ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัยช่วยลดโอกาสการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆได้ เช่น เอชไอวี หนองใน ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ เป็นต้น เพราะการรติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสกันโดยตรงของสารคัดหลั่งและอวัยวะเพศ ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อได้ง่าย
ลดการบาดเจ็บ
ถุงยางอนามัย มีส่วนผสมของสารหล่อลื่นในปริมาณที่พอเหมาะ เมื่อใช้ขณะมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลดโอกาสบาดเจ็บของอีกฝ่ายได้ ทั้งนี้ถุงยางอนามัยสามารถใช้ร่วมกับสารหล่อลื่นได้อีกด้วย
เพิ่มอรรถรสทางเพศ
ถุงยางอนามัยในปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานได้หลายรูปแบบ ทั้งผิวเรียบ ผิวไม่เรียบ ผิวขรุขระ มีสี มีกลิ่น ให้เลือกใช้งานได้ตามรสนิยมของผู้ใช้งาน จึงทำให้ช่วยเพิ่มอรรถรสในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้
ขั้นตอนการใส่ถุงยางอนามัย
- ฉีกซองถุงยางอนามัยออกมาแล้วเลือกด้านที่ถูกต้อง โดยเลือกด้านที่มีกระเปาะไว้ด้านนอก ใช้นิ้วมืออีกข้างบีบบริเวณหัวของถุงยางอนามัยเพื่อไล่อากาศ
- แน่ใจก่อนว่าอวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่แล้วก่อนที่จะสวมถุงยางอนามัย เมื่อสวมแล้วรูดถุงยางอนามัยลงมาจนสุด เพื่อป้องกันการหลุดออกในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
- ก่อนสอดใส่ตรวจดูให้แน่ใจว่าถุงยางอนามัยไม่ชำรุด ปลายถุงยางอนามัยไม่มีรอยรั่วหรือแตกออก บริเวณขอบที่รูดลงมาไม่มีรอยฉีกขาด
- เมื่อเสร็จกิจแล้วควรถอดถุงยางอนามัยในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวอยู่ เพื่อไม่ให้มีการหกเลอะเทอะ โดยใช้มือดึงออกจากส่วนโคนก่อน ดึงออกอย่างระมัดระวัง และอาจจะใช้กระดาษชำระห่อก่อนนำไปทิ้ง
- หากมีเพศสัมพันธ์ในยกต่อไป ควรทิ้งถุงยางอนามัยอันเก่าแล้วเปลี่ยนอันใหม่ เนื่องจากประสิทธิภาพของการป้องกันเชื้อโรคจะลดลง
สาเหตุที่ทำให้ถุงยางอนามัยแตก
- เลือกถุงยางอนามัยผิดขนาด
- แกะบรรจุภัณฑ์ผิดวิธี หรือใช้ของมีคมในการแกะ
- ถุงยางอนามัยหมดอายุ
- สวมใส่ถุงยางผิดวิธี
- เก็บรักษาถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บในที่ที่โดนแสงแดด
- ใช้ถุงยางอนามัยแบบไม่มีสารหล่อลื่น
การเลือกขนาดถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยที่เหมาะสมกับแต่ละคน สามารถสังเกตตัวเองได้เมื่ออวัยวะเพศมีการแข็งตัวเกิดขึ้น โดยทั่วไปจะขยายได้ใหญ่กว่าเดิม 3-5 เท่า การเลือกขนาดถุงยางอนามัย ควรเลือกให้พอดี ไม่หลวม หรือคับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้ฉีกขาดง่าย หรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งขนาดของถุงยางจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ โดยวัดจากเส้นรอบวงองคชาต ไม่ใช่ความยาว การเลือกถุงยางอนามัยจะวัดได้จากรอบวงเป็นมิลลิเมตร ดังนี้
- ถุงยางอนามัย ขนาด 49 มิลลิเมตร (เส้นรอบวงองคชาต 11-12 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 4.5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัยขนาด 52 มิลลิเมตร (เส้นรอบวงองคชาต 12-13 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัย ขนาด 54 มิลลิเมตร (เส้นรอบวงองคชาต 13-14 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 5.5 นิ้ว)
- ถุงยางอนามัยขนาด 56 มิลลิเมตร (เส้นรอบวงองคชาต 14-15 เซนติเมตร หรือ ประมาณ 6 นิ้ว)
ขอบคุณข้อมูล : pri.moph, samitivejhospitals
อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม
- เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”
- หนองในแท้ (Gonorrhoea) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ
ถุงยางอนามัย มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดมากถึง 98 % หากใช้อย่างถูกวิธี นอกจากนั้นยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆได้อีกด้วย และที่สำคัญสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อหรือร้านขายยาทั่วไป จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถุงยางอนามัยมีประโยชน์สารพัด ช่วยป้องกันตัวคุณเองและคนรักของคุณ