• Skip to primary navigation
  • Skip to main content
  • Skip to primary sidebar

ThaiHiv365

Never leave someone behind.

  • หน้าแรก
  • จองคิวตรวจเอชไอวี
  • เอชไอวีและเอดส์
    • การรักษาเอชไอวี
    • การป้องกันเอชไอวี
    • การตรวจเอชไอวี
    • เอดส์ คืออะไร
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
    • โรคหนองในเทียม
    • โรคหนองใน ภัยร้ายใกล้ตัว รู้ก่อนรักษาได้
    • โรคหูดข้าวสุก
    • โรคหูดหงอนไก่
    • โรคเริม
    • แผลริมอ่อน
    • โรคซิฟิลิส
  • เพร็พ PrEP/ เป็ป PEP
    • เพร็พ PrEP
    • เป๊ป PEP
  • บทความ
  • ถาม-ตอบ
  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา

thaihiv365 team

ค่า CD4 คืออะไร?

May 3, 2023 by thaihiv365 team

การตรวจนับ ค่า CD4 (ซีดีโฟร์) ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการวินิจฉัย การรักษา และติดตาม การติดเชื้อเอชไอวี การรักษาภาวะโรคเอดส์ เป็นต้น ค่า CD4 หมายถึง จำนวนเซลล์ CD4 หรือเซลล์ T-helper ในเลือด เซลล์ CD4 เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือโรคอื่นๆ ได้ดี โดยเฉพาะไวรัสเอชไอวีนี้จะมุ่งเข้าโจมตีและทำลายเซลล์ CD4 เป็นหลัก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง และทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อการติดเชื้อและการเจ็บป่วยค่า CD4 เป็นตัววัดที่สำคัญของสุขภาพและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ใช้เพื่อระบุระยะของโรค ความจำเป็นในการรักษา และประสิทธิผลของยารักษาเอชไอวี บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายว่าจำนวน CD4 คืออะไร วิธีการใช้ในการจัดการเอชไอวีและโรคเอดส์ และความสำคัญในการวินิจฉัย การรักษา และการติดตามโรค

ค่า CD4 คืออะไร

จำนวน ค่า CD4 สัมพันธ์กับ HIV อย่างไร?

  • จำนวน CD4 และระบบภูมิคุ้มกันเซลล์
    • CD4 มีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พวกมันช่วยกระตุ้นและประสานเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ เช่น บีเซลล์ และเซลล์ทีเป็นพิษต่อเซลล์ในการต่อสู้กับการติดเชื้อ เมื่อค่า CD4 ต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และร่างกายจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคต่างๆ มากขึ้น
  • จำนวน CD4 และการลุกลามของเชื้อ HIV
    • เชื้อ HIV โจมตีและทำลายเซลล์ CD4 ทำให้จำนวนเซลล์ T-helper ในร่างกายลดลง เมื่อจำนวน CD4 ลดลง ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอลง และความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และความเจ็บป่วยก็เพิ่มขึ้น เอชไอวีดำเนินไปตามระยะต่างๆ และจำนวน CD4 จะใช้ในการกำหนดระยะของโรค
ระยะของโรคขึ้นอยู่กับจำนวน ค่า CD4

ระยะของโรคเอชไอวีขึ้นอยู่กับจำนวน CD4 ดังนี้

  • ระยะที่ 1: CD4 มีค่ามากกว่า 500 เซลล์/ลบ.มม.
  • ระยะที่ 2: มีค่า CD4 ระหว่าง 200 ถึง 499 เซลล์/ลบ.มม.
  • ระยะที่ 3: มีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

จำนวน CD4 และการแพร่เชื้อเอชไอวี การนับ CD4 ยังมีบทบาทในการแพร่เชื้อเอชไอวี ผู้ที่ติดเชื้อที่มีปริมาณ CD4 ต่ำมีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น นี่เป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ทำให้พวกมันไวต่อการติดเชื้อ รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเอชไอวี

การนับ CD4 และการรักษาเอชไอวีการนับ CD4 ใช้เพื่อกำหนดความจำเป็นในการรักษาเอชไอวี และติดตามประสิทธิภาพของยารักษาเอชไอวี การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวี และได้ผลโดยการยับยั้งไวรัสและฟื้นฟูการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน จำนวน CD4 ใช้เพื่อระบุว่าเมื่อใดควรเริ่ม ART การรักษาทำงานได้ดีเพียงใด และเมื่อใดที่ควรเปลี่ยนแปลงสูตรยา

วิธีการตรวจ ค่า CD4

การตรวจค่า CD4 จะวัดจำนวนเซลล์ T-helper ในเลือด มีหลายวิธีในการทดสอบ CD4 รวมถึงโฟลว์ไซโตเมทรี การทดสอบ ณ จุดดูแล และการทดสอบในห้องปฏิบัติการ Flow cytometry เป็นวิธีการทดสอบ CD4 ที่ใช้บ่อยที่สุด ใช้ตัวอย่างเลือดเพื่อวัดจำนวนเซลล์ CD4 และคำนวณจำนวน CD4 การทดสอบ ณ จุดดูแลคือการทดสอบ CD4 ที่รวดเร็วซึ่งให้ผลในเวลาน้อยกว่า 30 นาที โดยทั่วไปจะใช้ในการตั้งค่าที่มีทรัพยากรจำกัด ซึ่งการเข้าถึงการทดสอบในห้องปฏิบัติการมีจำกัด ความถี่ในการตรวจ CD4 แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัยโรค และทุก 3-6 เดือนสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่งไม่ได้อยู่ใน ART สำหรับผู้ที่ใช้ยา ART แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัย เมื่อเริ่มใช้ยา ART และทุก ๆ หกถึง 12 เดือนหลังจากนั้น

การตีความผลการตรวจ CD4

จำนวน CD4 ถูกรายงานเป็นจำนวนเซลล์ CD4 ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (มม. 3) ของเลือด ค่า CD4 ปกติในผู้ใหญ่มีค่าตั้งแต่ 500 ถึง 1,500 เซลล์/ลบ.มม. อย่างไรก็ตาม จำนวน CD4 อาจแตกต่างกันไปตามอายุ เพศ และปัจจัยอื่นๆ ค่า CD4 ที่ต่ำบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และค่า CD4 ที่สูงกว่าบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น จำนวน CD4 ใช้ในการกำหนดระยะของโรคเอชไอวีและความจำเป็นในการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

ข้อจำกัดของการตรวจ CD4

การทดสอบ CD4 มีข้อจำกัดบางประการ จำนวน CD4 สามารถผันผวนได้เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การติดเชื้อ การฉีดวัคซีน และความเครียด จำนวน CD4 อาจไม่สะท้อนถึงการทำงานโดยรวมของระบบภูมิคุ้มกัน และบางคนที่มีจำนวน CD4 ต่ำอาจมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่รุนแรง

ปริมาณ CD4 และการรักษาเอชไอวี

การรักษาด้วยยาต้านไวรัสการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวี/เอดส์ ART ทำงานโดยการยับยั้งไวรัสและฟื้นฟูการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ยา ART มักประกอบด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่สามชนิดขึ้นไปจากประเภทต่างๆ กัน

  • จำนวน CD4 และการเริ่มต้น ART จำนวน CD4 ใช้เพื่อกำหนดเวลาที่จะเริ่ม ART โดยทั่วไป แนะนำให้ใช้ ART สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV/AIDS โดยมีค่า CD4 ต่ำกว่า 350 เซลล์/ลบ.มม. อย่างไรก็ตาม อาจแนะนำให้ใช้ยา ART สำหรับผู้ที่มีปริมาณ CD4 สูงกว่า 350 เซลล์/ลบ.มม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพโดยรวม และปัจจัยอื่นๆ ของบุคคลนั้นๆ
  • ปริมาณ CD4 และการเกาะติดของยา ARTยา ART ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการใช้ยาอย่างเคร่งครัดจึงจะได้ผล จำนวน CD4 ใช้เพื่อตรวจสอบความสม่ำเสมอและประสิทธิผลของ ART ปริมาณ CD4 ที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าการรักษาได้ผล
  • จำนวน CD4 และการตอบสนองของ ART การนับ CD4 ยังใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของ ART เมื่อเวลาผ่านไป ยา ART สามารถลดปริมาณไวรัสและเพิ่มจำนวน CD4 การเพิ่มขึ้นของจำนวน CD4 บ่งชี้ถึงระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น และความเสี่ยงในการติดเชื้อและการเจ็บป่วยที่ลดลง
ความสัมพันธ์ระหว่าง ค่า CD4 & HIV

การนับ CD4 เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเอชไอวีและโรคเอดส์ ใช้เพื่อระบุระยะของโรคเอชไอวี ความจำเป็นในการรักษา และประสิทธิภาพของยารักษาเอชไอวี แนะนำให้ตรวจ CD4 ในการวินิจฉัยและหลังจากนั้นเป็นประจำสำหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ART คือ การรักษามาตรฐานสำหรับเอชไอวีและโรคเอดส์ และจำนวน CD4 จะใช้เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามและการตอบสนองของยาต้าน ART

อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

อนาคตของการตรวจ CD4 และการรักษา HIV/AIDS นั้นสดใส ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการทดสอบ CD4 อาจนำไปสู่วิธีการทดสอบ CD4 ที่แม่นยำและเข้าถึงได้มากขึ้น ยาและสูตรการรักษาเอชไอวีแบบใหม่อาจให้ทางเลือกมากขึ้นสำหรับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ด้วยการวิจัยและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

Filed Under: เอดส์ Tagged With: AIDS, CD4, HIV, ซีดีโฟร์, รักษาเอชไอวี, รักษาเอดส์, วินิจฉัยเอชไอวี, ไวรัสเอชไอวี

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า

April 7, 2023 by thaihiv365 team

เอชไอวีและภาวะซึมเศร้า

ความเชื่อมโยงระหว่างเอชไอวีและภาวะซึมเศร้า นั้นมีหลายปัจจัย ประการแรก การวินิจฉัยโรคเอชไอวีสามารถกระตุ้นอารมณ์ต่างๆ รวมถึงความกลัว ตกใจ โศกเศร้า ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาของภาวะซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ อาการทางร่างกายของเชื้อเอชไอวี เช่น ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด และการเปลี่ยนแปลงของภาพลักษณ์ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตได้เช่นกัน

เอชไอวี คืออะไร ?

เอชไอวี (HIV) หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสชนิดที่ โจมตีระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับการติดเชื้อและโรคต่างๆ ตลอดเวลา หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา HIV อาจทำให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายอย่างรุนแรงและไม่สามารถต่อต้านการติดเชื้อและโรคได้

ภาวะซึมเศร้า คืออะไร ?

ภาวะซึมเศร้า เป็นโรคทางจิตเวชประเภทหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ‘เซโรโทนิน (Serotonin)’ มีปริมาณลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข มีแต่ความวิตกกังวล และหากปล่อยไว้ ผู้ป่วยอาจคิดสั้นฆ่าตัวตายได้

ดูแลตนเองอย่างไรหากอยู่ในภาวะซึมเศร้า

ดูแลตนเองอย่างไรหากอยู่ในภาวะซึมเศร้า

การดูแลตนเองทางร่างกายและอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการทั้งเอชไอวีและภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจรวมถึงการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงสารเสพติด

การได้การสนับสนุนจากคนรอบข้าง ครอบครัว เพื่อน สามารถให้การสนับสนุนทางอารมณ์ มีความเข้าใจและไม่ตัดสินผู้อื่นสามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยวและให้พื้นที่ที่ปลอดภัยในการแบ่งปันความคิดและอารมณ์

รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญของการรักษาภาวะซึมเศร้า คือ ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ ซึ่งสามารถให้การรักษาสำหรับภาวะซึมเศร้าได้อย่างดี ซึ่งอาจรวมถึงการบำบัดด้วยการพูดคุย (เช่น การบำบัดพฤติกรรมทางความคิด) การใช้ยา หรือทั้งสองอย่างรวมกัน

วิธีการรักษาภาวะซึมเศร้า

วิธีการรักษาภาวะซึมเศร้า

การรักษาด้วยยา

การใช้ยาแก้เศร้า เนื่องจากโรคซึมเศร้าสาเหตุที่พบเกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมองดังที่ได้กล่าว แล้วข้างต้น ดังนั้นการให้ยาแก้เศร้าเพื่อไปปรับสมดุลสารเคมีในสมองจึงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างมาก

การรักษาทางจิตใจ

การรักษาทางจิตใจมีวิธีอยู่หลายรูปแบบ ในการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจเป็นการ พูดคุยกับจิตแพทย์ อันจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเอง สาเหตุที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ ซึมเศร้า เข้าใจปัญหาและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม

อ่านบทความอื่นๆเพิ่มเติม

  • เอชไอวี : สาเหตุ อาการ การรักษา และการป้องกัน
  • แผลริมอ่อน | Chancroid

ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อเอชไอวี อาจพบกับปัญหาสุขภาพจิตเช่นภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งเป็นสภาวะที่สามารถมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้นการดูแลสุขภาพทั่วไปและสุขภาพทางจิตรใจของผู้ป่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถจัดการทั้งเอชไอวีและภาวะซึมเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Filed Under: เอชไอวี HIV

อวัยวะเพศชาย ดูแลให้เป็น ช่วยห่างไกลโรค

February 21, 2023 by thaihiv365 team

อวัยวะเพศเป็นอะไรที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด แต่คุณรู้จัก อวัยวะเพศชาย ของตัวเองจริงๆ หรือเปล่า!? เพราะส่วนนี้ ถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ที่ควรได้รับการดูแล และใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดโรค หรือเมื่อพบความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น จะได้รีบทำการรักษาทันที โรคร้ายจะไม่ลุกลาม วันนี้เรามีข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูแล อวัยวะเพศชาย มาฝากกันครับ

อวัยวะเพศชาย ดูแลให้เป็น ช่วยห่างไกลโรค

องค์ประกอบของอวัยวะเพศชาย

อวัยวะเพศชาย ประกอบไปด้วยหลายส่วนด้วยกัน ได้แก่ องคชาต อัณฑะ ท่อนำอสุจิ ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ ต่อมลูกหมาก และต่อมขับเมือก เป็นต้น โดยแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป หน้าที่ของอวัยวะเพศชาย หรือที่เราตั้งชื่อเล่นกันว่า “จู๋” คือเป็นทางออกของปัสสาวะ ช่วยผลิตฮอร์โมนและเชื้ออสุจิ สร้างความสุขทางเพศและจำเป็นมากกว่าการใช้เพื่อมีเพศสัมพันธ์

ข้อดีของการใส่ใจความสะอาด อวัยวะเพศชาย

อวัยวะเพศชาย เป็นส่วนที่บอบบางไม่แพ้กับอวัยวะเพศหญิงเลยทีเดียว การใส่ใจดูแลความสะอาดจึงไม่ต่างจากอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพทางเพศต่างๆ ที่อาจจะมีได้ รวมทั้งป้องกันกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ บริเวณน้องชายของเรา ลดการเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียได้ด้วย

อวัยวะเพศชาย กับขี้เปียก

อีกสิ่งหนึ่งที่ควรกังวล ถ้าไม่ทำความสะอาดอวัยวะเพศชายให้ดีพอ คือ “ขี้เปียก” หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Smegma ซึ่งเป็นคราบสกปรกที่เกาะตามอวัยวะเพศชาย เกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ไขมัน และคราบของเหลวที่ร่างกายผลิตขึ้นมา เพื่อช่วยให้บริเวณอวัยวะเพศชายมีความชุ่มชื้น การเกิดขี้เปียกอาจทำให้คัน และระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ หากปล่อยไว้นานมีโอกาสทำให้เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะปลายอวัยวะเพศชายอักเสบได้ด้วย

วิธีดูแล อวัยวะเพศชาย ที่ถูกต้อง

  • ทำความสะอาดอวัยวะเพศเป็นประจำ เพื่อสุขอนามัยที่ดี คุณควรอาบน้ำ และทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกวัน เช้า-เย็น สามารถล้างด้วยสบู่อ่อนๆ หรือหรือน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดที่มีค่าสมดุลกับอวัยวะเพศ โดยดึงหนังหุ้มองคชาต ให้ร่นขึ้นมาจนถึงคอคอด เพื่อล้างเหงื่อไคลและคราบปัสสาวะที่หมักหมมอยู่จากการใช้ชีวิตประจำวัน แต่หากมีเพศสัมพันธ์ ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศ ทั้งก่อนและหลังเสร็จกิจเสมอ
  • เลือกกางเกงในที่สวมใส่สบาย ไม่คับแน่นหรือผ้าหนาจนเกินไป เพราะอาจทำให้รู้สึกเกิดความอึดอัดบริเวณอวัยวะเพศได้ รวมทั้ง ควรเปลี่ยนกางเกงในใหม่ทุกวัน เพื่อลดการหมักหมมและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
  • ปัสสาวะให้หมดจริงๆ ไม่ควรรีบร้อน เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดแบคทีเรียเจริญเติบโตที่อวัยวะเพศได้
  • การใช้กระดาษทิชชู่เช็ดหลังปัสสาวะ ควรระมัดระวังไม่ให้หลุดเข้าไปที่ปลายท่อปัสสาวะ และควรเลือกใช้ทิชชู่ที่มีคุณภาพดี สะอาด ถูกอนามัย ไม่แต่งสีและกลิ่น เพราะทิชชู่อาจทำให้อวัยวะเพศเกิดอาการคันหรือแพ้ได้
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่ากับใครก็ตามเพื่อป้องกันไวรัสเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
วิธีดูแล อวัยวะเพศชาย ที่ถูกต้อง
  • หมั่นสังเกตความผิดปกติของอวัยวะเพศอยู่เสมอ เช่น อวัยวะเพศมีผื่นคัน มีแผลบวม ปัสสาวะมีอาการแสบร้อน หรือแสบขัด มีเลือดหรือหนองไหลออกมาจากอวัยวะเพศ มีรอยแดง ไฝจุดสีเข้ม หรือตุ่มน้ำ หากมีความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางทันที
  • สามารถทำการกระตุ้นอวัยวะเพศหรือที่เรียกว่าการนวดบริหาร อาจนวดเบาๆ ตอนอาบน้ำ หรือเวลาที่สะดวก เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบหลอดเลือด ไขมันในเส้นเลือดเกิดการสลายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เหมาะสมประมาณ 23:00-24:00 น. โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมา ฮอร์โมนความเครียดจากต่อมหมวกไตจะพักการทำงาน และเป็นช่วงเวลาที่ถุงน้ำดีขับสารพิษ ซึ่งถ้ายังไม่ได้นอนหลับสารพิษก็กลับเข้าสู่ตับ ส่งผลเสียต่อสุขภาพทำให้แก่เร็วและเสื่อมสมรรภภาพได้
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสุขภาพร่างกายให้ดี เสริมสมรรถภาพทางเพศ และทำให้มีเพศสัมพันธ์ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น
  • เลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพร่างกาย และฮอร์โมน ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และลดการสูบบุหรี่ที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
  • ตรวจฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญเกี่ยวกับอารมณ์ทางเพศ เส้นผม เส้นขนต่างๆ ในร่างกายและการผลิตสเปิร์ม หากฮอร์โมนเพศชายลดลง จะส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกาย

ดังนั้นการดูแลรักษา อวัยวะเพศชาย ให้มีสุขภาพดีที่กล่าวมาข้างต้น จึงมีประโยชน์อย่างมาก และที่สำคัญ คือ ถ้าสุขภาพน้องชายของคุณแข็งแรงดี การแข็งตัวระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ก็จะดีตามไปด้วย ทำให้กิจกรรมทางเพศของคุณมีความสุขมากยิ่งขึ้น จึงควรเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพอวัยวะเพศชายตั้งแต่วันนี้ครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติมที่นี่

  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: ขี้เปียก, จู๋, สุขภาพทางเพศ, อวัยวะเพศชาย

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

January 18, 2023 by thaihiv365 team

ถ้าพูดถึง HIV กับ AIDS คนหลายคน ก็เกิดมีความกลัวอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังมีชุดความรู้ผิดๆ เกี่ยวกับเชื้อนี้อยู่มาก เนื่องจากยังไม่ค่อยมีสื่อเรื่องเพศศึกษา และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในสถานศึกษาอย่างจริงจัง พอได้ยินว่า “เลือดบวก” ก็จะตีความว่าเขาเป็นโรคเอดส์ทันที ในบทความนี้จะแยกให้เห็นว่า HIV กับ AIDS ไม่ได้เหมือนกันอย่างที่คิดครับ

แยกให้เป็น HIV กับ AIDS ไม่เหมือนกัน

HIV กับ AIDS แตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างของ HIV กับ AIDS นั่นง่ายมาก เพราะ HIV คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค AIDS หมายความว่า AIDS เป็นเพียงอาการของผู้ที่ติดเชื้อ HIV และไม่ได้รับการรักษาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคเอดส์ได้ในตอนท้าย สรุปอีกครั้งว่า HIV เป็นเชื้อไวรัส แต่ AIDS เป็นเพียงอาการของคนที่ไม่ได้รักษานั่นเอง ซึ่งกว่าจะกลายเป็นโรคแทรกซ้อน ไวรัสเอชไอวีจะต้องเข้าสู่ร่างกายมาสักระยะและผู้นั้นไม่ได้ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ตัวไวรัสจึงแพร่กระจายตัวไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พังลงได้ในที่สุด

HIV ติดต่อได้ผ่าน

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
  • การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และ
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก (พบได้น้อย)
HIV ติดต่อได้ผ่าน

อาการของ HIV กับ AIDS

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า AIDS ที่เป็นอาการของผู้ติดเชื้อ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ในระยะแรกที่ได้รับเชื้อมาใหม่ๆ คนๆ นั้นจะแทบไม่มีอาการใดปรากฏให้เห็นเลย หรือถ้ามีก็น้อยมากจนไม่ทันสังเกต เพราะอาจคิดว่าป่วยเป็นโรคธรรมดาทั่วไป โดยเราจะแบ่งระยะอาการออกเป็น 3 ระยะดังนี้

  1. ระยะติดเชื้อเฉียบพลัน : ระยะนี้จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีมาแล้ว ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งจะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด เช่น
    • ต่อมน้ำเหลืองโต
    • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย
    • ปวดเนื้อเมื่อยตัว ไม่มีเรี่ยวแรง
    • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ท้องเสีย
    • เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เจ็บคอ
  2. ระยะเริ่มแสดงอาการ : ระยะนี้ จะค่อยๆ เริ่มมีอาการ โดยจะใช้เวลาเฉลี่ยอยู่ที่ 7-10 ปีขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อ แต่ก็ยังไม่อาจระบุได้ว่าเข้าสู่ภาวะเอดส์อย่างเต็มขั้น ซึ่งอาการจะค่อนข้างคล้ายคลึงในช่วงแรกที่ติดเชื้อ แต่อาจมีโรคอย่างอื่นด้วย เช่น
    • โรคงูสวัด
    • เกิดเชื้อราในช่องปาก
    • มีแผลเริมที่อวัยวะเพศ
    • พบผื่นคันตามร่างกาย คล้ายคนเป็นภูมิแพ้
  3. ระยะเอดส์ : ระยะนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภูมิต้านทาน ในระดับต่ำมากๆ หรือผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่ได้รับการรักษา เชื้อไวรัสเอชไอวีเข้าไปทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย และไม่มีภูมิต้านทานมาช่วยได้ ส่งผลทำให้มีโรคฉวยโอกาสเข้ามาได้บ่อยๆ เช่น
    • วัณโรค
    • โรคติดเชื้อในปอด
    • โรคติดเชื้อในสมอง
    • โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

มาป้องกันตัวเองจาก HIV กับ AIDS กันเถอะ!

อยากห่างไกลจากโรคเอดส์ ทำได้ง่ายๆ เลยเรื่องเดียวคือ ให้ความสำคัญกับการป้องกันตัวเอง เพราะเมื่อเราเซฟตัวเองดี คนอื่นรอบข้างก็ไม่มีความเสี่ยงไปด้วย

  • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
  • ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ รักเดียว ใจเดียว
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • หมั่นตรวจเอชไอวีเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

HIV กับ AIDS ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

หากเราเรียนรู้และยอมรับเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น จะเห็นได้ว่า การอยู่ร่วมกับผู้มีเชื้อเอชไอวีไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะเขาเหล่านี้ก็คือมนุษย์ปกติเหมือนกับเรา เพียงแต่เจ็บป่วยด้วยโรคประเภทหนึ่งเท่านั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนเรา เรียน ทำงาน หรือแม้แต่มีครอบครัว มีลูกได้เหมือนกัน ในความเป็นจริง คนที่ติดเชื้อและทำการรักษาเอชไอวีด้วยยาต้าน จะถูกกลไกของยาคอยควบคุมเชื้อไม่ให้แพร่กระจาย ไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ และเขาจะได้รับการติดตามผลการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพราะยานี้จำเป็นต้องทานไปตลอดชีวิต จนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกพัฒนามาให้กลุ่มผู้ติดเชื้อได้รักษาเอชไอวีให้หายขาดไปได้จริงจากร่างกายในอนาคตครับ

อ่านบทความที่น่าสนใจเพิ่มเติม

  • โรคฝีมะม่วง ภัยร้ายใกล้ตัว
  • เจ็บแสบระหว่างปัสสาวะ อาการบ่งบอกถึงโรค “หนองใน”

Filed Under: เอชไอวี HIV Tagged With: AIDS, HIV, โรคเอดส์, ไวรัสเอชไอวี

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

November 22, 2022 by thaihiv365 team

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

HIV เป็นเชื้อไวรัสที่จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค และเชื้อไวรัสต่าง ๆ เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว ถูกทำลายจนอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะถูกเชื้อไวรัสเอชไอวีโจมตีจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้และก่อให้พัฒนาจนกลายเป็นโรคเอดส์ (AIDS) เต็มขั้น

การตรวจวัดจำนวน CD3/CD4/CD8 ในกระแสเลือด ซึ่งเป็น CD ที่มีความจำเพาะกับเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่ต้องมีการกระตุ้น ( Adaptive Immune Response ) คือ กลุ่มเม็ดเลือดขาว ชนิดที่สร้างแอนติบอดี ( B cells ) หรือ กลุ่มเม็ดเลือดขาวที่เป็นหน่วยความจำ ( T cells ) และมีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย

CD4 คืออะไร?

CD4 cells ย่อมาจากคำว่า Cluster of Differentiation 4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells 

CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ที่มีหน้าที่ควบคุม และต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส

หลายคนอาจยังเข้าใจผิดว่า CD4 คือ เซลล์เม็ดเลือดขาว หรือภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพียงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ในคนที่ร่างกายปกติก็มีเซลล์เม็ดเลือดขาวหรือ CD4 เช่นเดียวกัน

กลไกของการติดเชื้อเอชไอวี หรือกระบวนการทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวของของเชื้อเอชไอวีกัน

การเข้าใจกลไกของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี เป็นการช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของยาต้านไวรัส แต่ละประเภทด้วย โดยมี 5 ขั้นตอน ดังนี้

1. เชื้อเอชไอวีเริ่มยึดเกาะเข้ากับผนัง CD4 โดยใช้หนามที่มีอยู่รอบ ๆ เซลล์แทงยึดที่เต้ารับของ CD4  จากนั้นจะเริ่มแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของวงจรการติดเชื้อเอชไอวี

2. หลังจากที่ยึดเแน่นแล้ว เยื่อหุ้มเอชไอวีจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเยื่อหุ้ม CD4 เมื่อเจาะเกราะหุ้ม CD4 ได้ เชื้อเอชไอวีจะพุ่งเข้าไปในเซลล์ CD4 ทันที

3. เมื่อเข้าเซลล์ได้ รหัสพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี (RNA) จะพุ่งสู่ใจกลางเซลล์ CD4 และก๊อบปี้ตัวเองขึ้นมา โดยขโมยโปรตีนของเซลล์ CD4 มาใช้ในการสร้างเนื้อตัวของลูกหลานตัวใหม่ เซลล์เอชไอวีรุ่นใหม่จะมีโครงสร้างที่ซับซ้อนกว่าของเก่า

4. เมื่อได้ทุกสิ่งอย่างครบตามองค์ประกอบเดิมเชื้อเอชไอวี ตัวใหม่ก็จะผุดออกมาจากเซลล์ CD4 โดยดึงเนื้อหนังมังสามาจากผนังของ CD4 มาสร้างเปลือก

5. กองทัพเชื้อเอชไอวีถูกปล่อยออกมาจาก CD4 พร้อม ๆ กันหลายตัว การแบ่งตัวแบบทวีคูณนี้ทำให้เชื้อเอชไอวีสามารถรวมกันเป็นขบวนการทำร้าย CD4 เซลล์อื่น ๆ ที่ยังแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายประมาณ 3-12 สัปดาห์ ร่างกายจะสังเคราะห์แอนติบอดี้เพื่อตรวจจับสิ่งแปลกปลอมออกมา เพื่อจะจับกุมเชื้อเอชไอวี แต่ก็สายไปแล้ว แอนติบอดี้ที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ คือ สารที่ตรวจเจอเวลาเราไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีนั้นเอง

หลังจากที่ CD4 ถูกทำลายแล้วจะเป็นอย่างไร

CD4 ที่ถูกเชื้อเอชไอวีใช้ในการแบ่งตัวจะไม่สามารถทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอม ได้อีกต่อไป CD4 เหล่านั้นจะหมดสภาพ และถูกทำลายไป ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ทางตรง:  CD4 ที่ติดเชื้อจะเอชไอวีถูกขโมยเนื้อเยื่อ และสารประกอบไปผลิตเชื้อเอชไอวีตัวใหม่ และเมื่อลูกหลานของเชื้อเอชไอวีจำนวนมากผุดออกมาจากเซลล์ CD4 ตัวนั้นจะตายลง เนื่องจากเนื้อเยื่อภายในถูกทำลายอย่างหนัก หรือถ้ายังไม่ตายในทันทีก็ จะหมดอายุและตายในเวลาต่อมา

ทางอ้อม:  CD4 ที่ติดเชื้ออาจตั้งโปรแกรม ทำลายตัวเอง (Apoptosis) เมื่อระบบ และกลไกการทำงานของเซลถูกรบกวนจากการผลิตลูกหลานของเชื้อเอชไอวี ผู้มีเชื้อส่วนใหญ่ จะมีเซลล์ Apoptosis ในกระแสเลือด และต่อมน้ำเหลืองจำนวนมากกว่าคนที่ไม่มีเชื้อเอชไอวี

ปริมาณ CD4 ในกลุ่มคนไม่ติดเชื้อเอชไอวี

คนปกติที่มีสุขภาพแข็งแรง ระดับปกติของ CD4 ในคนที่ไม่ติดเชื้อ HIV จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อ เลือด 1 ลบ.มม. โดยจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติระหว่าง 4,500 ถึง 10,000 เม็ดเลือดขาว หรือ wbc white blood cell ต่อไมโครลิตร

CD 4 ของผู้หญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้นมที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 – 1600.

ถึงแม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อเอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ CD4 ตามตัวอย่างต่อไปนี้

  • ผู้หญิงมี CD4 สูงกว่าผู้ชาย ประมาณ 100
  • CD4 ของผู้หญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีประจำเดือน
  • ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะทำให้ CD4 ลดลงได้
  • บุคคลที่สูบบุหรี่จะมีแนวโน้มที่มี CD4 สูงกว่าปกติ ประมาณ 140
  • CD4 จะลดระดับลงในขณะที่ร่างกายพักผ่อน และลดลงได้มากถึง 40%
  • การหลับสนิทจะหมายถึง คุณจะมี CD4 ที่ต่ำในช่วงเช้า แต่จะมี CD4 ที่สูงขึ้นในช่วงบ่าย

ปัจจัยที่กล่าวมาไม่ทำให้เกิดความแตกต่างในการต่อต่านเชื้อโรคของระบบภูมิต้านทาน เนื่องจาก

CD4 ส่วนน้อยที่อยู่ในกระแสเลือด ส่วนที่เหลืออยู่ใน lymph nodes และ เนื้อเยื่อ และ การขึ้นลงที่กล่าวมาข้างบนนั้นอาจจะเกิดจากการย้ายตัวของ CD4 ระหว่าง เลือด และ เนื้อเยื่อ

CD4 ที่เท่าไหร่ถึงเรียกว่าระดับน่าเป็นห่วง

ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจากการตรวจวัด CD4 จะอยู่ที่ระดับน้อยกว่า 200  ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อต่าง ๆ เรียกว่า โรคติดเชื้อฉวยโอกาสเนื่องจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ทั้งนี้หากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัส จะทำให้ค่า CD4  เพิ่มขึ้นตามลำดับ และจะเริ่มคงที่อยู่ที่ระดับ 500 – 600 ตามแต่สภาพทางร่างกายของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีร่างกายปกติ การรับประทานอาหารให้ครบ  5 หมู่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอก็จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีได้

CD4 สำคัญอย่างไรกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี?

ในการติดเชื้อเอชไอวีมีเพียงประมาณ 5-10% ของเซลล์ภูมิคุ้มกัน CD4 ส่วนที่เหลือ 90-95% ตายแล้วจากการทำลายของเชื้อเอชไอวี จะเห็นได้ว่าการที่ร่างกายไม่มีภูมิคุ้มกัน เกิดจากจำนวน cd4 ที่ลดลง มากกว่าปัญหาจากจำนวนเชื้อเอชไอวี ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะถือว่าผู้ติดเชื้อนั้นเข้าสู่ระยะที่เป็นโรคเอดส์  และมีโอกาสที่จะเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาส  เช่น โรคปอดอักเสบจากเชื้อ Pneumocystis (PCP) ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบมากในผู้ป่วยเอดส์เป็นอันดับ 2 รองจากวัณโรค

ระดับ CD4กำหนดยาต้านไวรัสเอชไอวี

ระดับ CD4 และการรักษาเอชไอวี

ระดับ CD4 จะช่วยกำหนดการเริ่มรับยาต้านไวรัสเอชไอวี และเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าการรักษาได้ผลหรือไม่ 

เมื่อระดับ CD4 ของคุณต่ำกว่า 350 แพทย์จะเริ่มแนะนำให้คุณรับยาต้านไวรัส ซึ่งในระดับนี้ยังขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการรับยาต้านหรือไม่ แต่ ถ้า CD4 อยู่ที่ 200-250 คุณควรจะต้องรับยาต้านไวรัส เนื่องจากระดับ CD4 บ่งชี้ว่าคุณมีความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ต่อการเป็นโรคเอดส์ แต่ถ้าคุณรอจนกระทั้ง CD4 อยู่ในระดับต่ำกว่า 200 คุณมีแนวโน้มที่ตอบสนองต่อยาต้านไวรัสได้น้อย ในขณะที่คนที่มี CD4 มากว่า 350 จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆเลย ถ้าบุคคลนั้นรับยาต้านไวรัส

เมื่อคุณ เริ่มรับยาต้านแล้ว ระดับ CD4 จะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แต่ถ้าระดับ CD4 ยังคงลดลงในการตรวจหลายๆครั้ง คุณควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผิดปกติในการรักษา

ทำไมต้องเพิ่ม CD4 อย่างรวดเร็ว

การเพิ่ม CD4 ให้สูงขึ้น มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้ป่วย และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย มากกว่าการลดจำนวนเชื้อเอชไอวี ให้น้อยลง เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยมีค่า CD4 เพิ่มสูงขึ้นจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ หรือโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ ได้ด้วย

การเพิ่ม CD4  โดยทั่วไป อาจทำได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ  การทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และการออกกำลังกายสามารถเพิ่ม CD4 ได้

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

ผลข้างเคียงของยาต้านไวรัสเอชไอวี
ผื่นที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • การตรวจ CD3/CD4/CD8 Cell Count คืออะไร? https://wincellresearch.com/cd3-cd4-cd8/
  • CD4 คืออะไร? http://buddystation.ddc.moph.go.th/basic005/
  • CD4 คืออะไร https://www.scimath.org/article-science/item/8478-cd4
  • CD4 คืออะไร https://sites.google.com/site/aidsfriend/knowledge/cd4-khux-xari

Filed Under: Uncategorized Tagged With: CD4 cells, CD4 คืออะไร?, Cluster of Differentiation 4, HIV, T-cells, เอชไอวี

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

October 27, 2022 by thaihiv365 team

1.โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์(STI) ที่พบได้บ่อย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีผลกระทบต่อทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบางอย่างสามารถรักษาได้เพื่อให้คุณ และคู่นอนของคุณมีสุขภาพที่แข็งแรง และคุณเองสามารถป้องกันตัวเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

STI  คืออะไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted infections; STI)  คือ การติดเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยผ่านการจูบ, การสัมผัสหรือถูอวัยวะเพศ, การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (การใช้ปากกับอวัยวะเพศ), การร่วมเพศ (องคชาตในช่องคลอด องคชาตในทวารหนัก), การใช้เซ็กซ์ทอย รวมถึง การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด และหลังคลอด

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด

  • เชื้อ HIV
  • โรคหนองใน
  • โรคหนองในเทียม
  • โรคหูดหงอนไก่และเชื้อ HPV
  • โรคเริม
  • โรคซิฟิลิส
  • โรคไวรัสตับอักเสบเอ โรคไวรัสตับอักเสบบี และโรคไวรัสตับอักเสบซี

ใครเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใส่ถุงยางอนามัย กับบุคคลเหล่านี้จะทำให้คุณมีแนวโน้มการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ได้มากขึ้น เช่น คู่นอนชั่วครั้งชั่วคราว, มีคู่นอนหลายคน หรือมีกิจกรรมทางเพศบ่อย
  • ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ชายคนอื่น
  • อายุน้อย ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเพศสัมพันธ์
  • เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต
  • ดื่มสุรา 
  • ใช้สารเสพติด

เมื่อไหร่ที่ควรมาตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย (ทั้งผ่านทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางหวารหนัก)
  • มีอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่บริเวณอวัยวะเพศของคุณ ได้แก่ องคชาต, ลูกอัณฑะ, ช่องคลอด, ปากช่องคลอด, ทวารหนัก โดยมีอาการดังนี้ เป็นผื่นหรือคันที่อวัยวะเพศ, มีสารคัดหลั่งจากองคชาต ช่องคลอด หรือทวารหนัก, อาการแสบเวลาปัสสาวะ, เจ็บแผล เป็นตุ่ม หรือมีหนอง, มีติ่งหรือก้อนเนื้อขึ้นบริเวณผิวหนัง, เจ็บปวดที่อวัยวะเพศหรือท้องน้อย, มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
  • กังวลว่าคุณอาจติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ถุงยางอนามัยของคุณฉีกขาดหรือหลุดออกระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
  • คู่นอนของคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น
  • ใช้เข็ม หลอดฉีดยา และช้อนในการฉีดสารเสพติดร่วมกับผู้อื่น

จะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อสงสัยว่าอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ?

เมื่อพบว่ามีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเพิ่งมีความเสี่ยงในการติดโรค ควรรีบปรึกษาแพทย์ และงดการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่นจนกว่าจะทราบผลการตรวจ ถ้าแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหาย และแนะนำให้คู่นอนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เข้ารับการตรวจรักษาด้วย 

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาหาย และไม่หาย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาหาย

  • หนองใน
  • หนองในเทียม  
  • ซิฟิลิส  
  • ทริคโคโมแนส  
  • กามโรคของท่อและต่อม 
  • น้ำเหลือง  
  • แผลริมอ่อน  
  • หิดและโลน  
  • ตับอักเสบเอ  
  • หูดข้าวสุก

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่รักษาไม่หายขาด

  • เอชไอวี  
  • เริมอวัยวะเพศ  
  • หูดหงอนไก่  
  • ตับอักเสบบี
  • ตับอักเสบซี 
วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

วิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำอย่างไรได้บ้าง

  • การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ การมีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้ 
  • การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์  และการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก  ตรวจสอบวันที่ใช้งานเสมอ เนื่องจากถุงยางอนามัยเก่าอาจฉีกขาดได้ง่าย
  • ใช้แผ่นยางทันตกรรม (แผ่นยางบาง ๆ ที่ใช้เป็นตัวกั้น) สำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก
  • ใช้สารหล่อลื่นสูตรน้ำเพื่อช่วยลดโอกาสการฉีกขาดของถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางอนามัย  อย่าใช้วาสลีนหรือน้ำมันนวดตัว เพราะอาจทำให้ถุงยางหรือแผ่นยางอนามัยเสื่อมหรือฉีกขาดได้ง่าย
  • ใช้ถุงยางอนามัยใหม่หรือแผ่นยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่คุณมีเพศสัมพันธ์ (ถึงแม้ว่าคุณหรือคู่นอนของคุณจะไม่หลั่งน้ำกามออกมา) อย่าล้างถุงยางอนามัยและนำกลับมาใช้อีก
  • หากคุณมีเพศสัมพันธ์กับคนมากกว่าหนึ่งคน (มีเพศสัมพันธ์แบบสามคนหรือแบบเป็นกลุ่ม) เปลี่ยนถุงยางอนามัยหรือแผ่นยางทันตกรรมใหม่สำหรับแต่ละคน
  • เมื่อใช้เซ็กซ์ทอยในการมีเพศสัมพันธ์แบบสามคนหรือแบบเป็นกลุ่ม ให้ใช้ถุงยางอนามัยใหม่สำหรับแต่ละคน
  • หากคุณหรือคู่นอนของคุณมีอาการ อย่าสัมผัสหรือถูบริเวณนั้น
  • หากคุณคิดว่า คุณเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่ามีเพศสัมพันธ์อีกจนกว่าคุณจะไปพบแพทย์
  • การตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้และหนองในเทียมปีละครั้ง โดยเฉพาะหญิงอายุน้อยกว่า 25 ปีที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือกลุ่มชายรักชาย และการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิสอย่างน้อยปีละครั้งในกลุ่มชายรักชาย
  • การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สำหรับคนที่มีอายุ 9-45 ปี โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี

บทความอื่นๆเพิ่มเติม

โรคหูดหงอนไก่ (Condyloma Acuminata)

ทำความรู้จักกับ โรคฝีดาษลิง

อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ :

  • เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – About STIs (Thai) https://www.staystifree.org.au/about-stis/about-stis-thai
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ https://www.pidst.or.th/A732.html

Filed Under: โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ Tagged With: Sexually transmitted infections, STI, เพศสัมพันธ์, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • Go to page 1
  • Go to page 2
  • Go to page 3
  • Interim pages omitted …
  • Go to page 5
  • Go to Next Page »

Primary Sidebar

Recent Posts

  • สารพัดประโยชน์ของถุงยางอนามัย
  • เอชไอวีป้องกันได้ ด้วยการทาน “PrEP”
  • หนองในแท้ (Gonorrhoea) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ
  • ค่า CD4 คืออะไร?
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย..ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

Archives

  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • November 2021
  • September 2021
  • April 2021
  • November 2020
  • September 2020
  • May 2020
  • April 2020

Categories

  • PEP
  • PrEP
  • Uncategorized
  • ตรวจเอชไอวี
  • ถุงยางอนามัย
  • ยาต้านไวรัส
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • หนองในแท้
  • เอชไอวี HIV
  • เอดส์
  • แผลริมอ่อน
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • โรคฝีดาษลิง
  • โรคฝีมะม่วง
  • ไวรัสตับอักเสบบี

Copyright © 2023 · Genesis Sample on Genesis Framework · WordPress · Log in