โรคตับอักเสบซี คือ การติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลต่อตับ ทำให้เกิดการอักเสบ และอาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงของตับ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ไวรัสตับอักเสบซี (HCV) อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกว่าโรคตับอักเสบซีคืออะไร สาเหตุ อาการ ทางเลือกในการรักษาที่มีอยู่ และกลยุทธ์การป้องกันที่จำเป็นเพื่อปกป้องสุขภาพของคุณ
Table of Contents
โรคตับอักเสบซีคืออะไร?
โรคตับอักเสบซี คือ การติดเชื้อในตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบซี (HCV) ไวรัสสามารถทำให้เกิดโรคตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลัน และเรื้อรังได้ มีอาการตั้งแต่การเจ็บป่วยเล็กน้อยที่กินเวลาไม่กี่สัปดาห์ไปจนถึงภาวะตลอดชีวิต ที่นำไปสู่ปัญหาร้ายแรง เช่นโรคตับแข็ง และมะเร็งตับ
อาการของ โรคตับอักเสบซี
ไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคที่ส่งผลต่อตับ อาจไม่มีอาการใดๆ ในระยะแรก แต่เมื่อโรคดำเนินไป อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ ไวรัสตับอักเสบซีสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลัน และระยะเรื้อรัง อาการทั่วไปของไวรัสตับอักเสบซี ได้แก่
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดท้อง
- ปัสสาวะสีเข้ม
- อุจจาระซีด
- ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน)
หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
โรคตับอักเสบซีติดต่อกันได้อย่างไร
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- รับเลือดโดยไม่มีการตรวจกรองหาไวรัสตับอักเสบซีในเลือดของผู้บริจาค (ช่วงก่อนปี 2533)
- จากมารดาสู่ทารก (ซึ่งพบได้น้อยมาก)
การรักษาไวรัสตับอักเสบซี
ปัจจุบันการรักษาไวรัสตับอักเสบซี มีประสิทธิภาพสูง สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ซึ่งมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสตับอักเสบซี ระยะของโรค และสุขภาพของผู้ป่วย
- ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน เช่น โซฟอสบูเวียร์ (sofosbuvir) เลดิพาสเวียร์ (ledipasvir) ดาคลาทัสเวียร์ (daclatasvir) และเวลปาทัสเวียร์ (velpatasvir)
- ยาฉีด เช่น เพ็กอินเทอร์เฟอรอน (peginterferon) และริบาวีริน (ribavirin)
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป คือ 12 – 24 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัสตับอักเสบซี ระยะของโรค และสุขภาพของผู้ป่วย
การป้องกันโรคตับอักเสบซี
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย: เชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: เชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อผ่านเข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนเลือด ควรใช้เข็มฉีดยาใหม่ทุกครั้ง
- สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเลือด: เชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อผ่านเลือด ควรสวมถุงมือเมื่อสัมผัสเลือดของผู้อื่น
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน: เชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อผ่านของใช้ส่วนตัว เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด กรรไกรตัดเล็บ ดังนั้นไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน
- ตรวจคัดกรอง: การตรวจคัดกรองเพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ไวรัสตับอักเสบซีสามารถรักษาหายได้หากได้รับการวินิจฉัย และเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคตับอักเสบซี
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพให้ดี
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย สะอาด และครบ 5 หมู่
- หลีกเลี่ยงอาหารเสริม ยาสมุนไพร ที่ไม่จำเป็น เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตับได้
- หลีกเลี่ยงยาประเภทสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ไวรัสตับอักเสบเพิ่มปริมาณมากขึ้น
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
- ติดตามผลการรักษากับแพทย์ทุก 3 – 6 เดือน
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
แม้ไวรัสตับอักเสบซี จะเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง มะเร็งตับ และโรคแทรกซ้อนร้ายแรงอื่นๆ แต่ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้ป่วยสามารถหายขาดจากโรคนี้ได้หากได้รับการวินิจฉัย และเริ่มการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ